ความน่าสลดใจสามประการ Three inconvenient truth about my faith




ความน่าสลดใจในศาสนาคริสต์ 3 ประการของผม (แค่เท่านี้ก็พอ)

ในประเทศไทย การจะได้มีโอกาสฟังเรื่องพระกิตติคุณความรอดด้วยการไถ่บาปจากพระคริสต์แล้วเกิดความเชื่อศรัทธา  มาเชื่อถือพระเจ้านั้นเป็นการยากยิ่ง ดุจเป็นการค้นหาของมีค่าที่หายไปในมหาสมุทร  ดังนั้น การจะเชื่อพระเจ้านั้นยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร์

แต่การที่จะเติบโตกับพระเจ้ายังต้องฝ่าฟันอุปสรรค์ทางศาสนาไปอีกไม่รู้กี่อย่าง ไม่รู้กี่ปีกว่าจะได้พบความจริง บางคนไม่ค้นพบจนตาย แต่หลงเข้าใจว่า ตัวเองรอดแล้ว และทำดีที่สุดแล้ว

ผมมีข้อคิดสามประการจากประสบการณ์มาฝากมาเล่าให้ฟัง  แม้ว่าจะเป็นความจริงที่หลายคนรู้เต็มอกแต่ไม่กล้าเล่า ไม่กล้าบอก หรือบางคนไม่อยากจะให้ใครรู้เลย เพราะอะไรลองคิดเอาเองนะครับ  คือ






ก. คนตาฟางนำทางคนตาบอด


มีคำกล่าวว่า
  "พระองค์(พระคริสต์) ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นคำอุปมาด้วย ว่า "คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ"
[ลก.6:39]

ผู้นำความเชื่อใช้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าชัดเจน มาสอนคนที่กำลังแสวงหาพระเจ้า  แทนที่เขาจะนำคนให้ได้พบพระเจ้า  เขากลับสอนอะไรต่างๆ เพื่อพยายามบอกว่าพระเจ้ามีพระลักษณะเป็นอย่างไรมากกว่าจะพาคนให้มีประสบการณ์กับพระเจ้า  นั่นคือการสอนศาสนาแทนการแสวงหาพระคริสต์ 

ผู้นำศาสนาพยายามสอนให้คนเชื่อถือหลักคำสอน  ให้เชื่อในสิ่งที่เป็นหลักการของกลุ่มย่อยทางศาสนามากกว่าที่จะมุ่งให้ผู้เชื่อมีประสบการณ์ในความเชื่อ หรือได้รับประสบการณ์กับพระเจ้าแบบตัวต่อตัว  ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์อำนาจเหนือโรคภัย  และวิญญาณร้าย

พวกเขามักจะใช้คำว่า กลุ่มเราเชื่อแบบนี้  เราไม่เชื่ออย่างนี้ เราเอาอย่างนี้  แต่เราไม่เอาแบบนี้เช่น  เราเน้นการเรียนพระวจนะ แต่ไม่เน้นของประทาน  เราเน้นการร่วมกิจกรรม  เราไม่เน้นการออกไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่มอื่น  เพราะเราไม่แน่ใจว่า ของเขาจะตรงกับที่เราสอนไหม

เราเน้นความรู้จากพระวจนะ  เราต้องเรียนพระวจนะ เราต้องเรียนเป็นชั้นๆ เป็นปีๆ  เรียนไปไม่รู้กี่ปีคนเรียนก็ยังเหมือนเดิม  ไม่ได้นำใครมารอด  ยังปากไม่มีหูรูด  ยังเป็นแค่ผู้ดีวันอาทิตย์  ไปข้างนอกไม่ส่องแสงของพระคริสต์เลยสักนิด  เพราะยังไม่มีแสงในตัวเอง

แทนที่ผู้นำจะสอนให้คริสเตียนมุ่งมั่นแสวงหาความจริง  ของประทาน และการเกิดผล พวกเขาสอนว่า เราต้องเป็นคนดี   สมาชิกที่ดีต้องร่วมกิจกรรม  ต้องมาโบสถ์ทุกอาทิตย์ ใครไม่มาโบสถ์สักสองอาทิตย์  พอโพล่หน้าไปก็เจอซักฟอกก่อนทันที

การสอนเน้นให้เป็นสมาชิก(ต้องอยู่ร่วมตลอดไป)  ต้องร่วม ต้องรับภาระ  ต้องแบก  ต้องถวาย  ต้องรับใช้  ต้องโน้น  ต้องนี่  แทนการสอนให้เติบโตในความเชื่อ  ความรัก และการประกาศข่าวประเสริญ  แล้วส่งเสริมให้ผู้เชื่อออกไปตั้งคริสตจักร (ให้เป็นสาวก)

พี่น้องลองคิดดูสิ  การที่คนที่ยังงงๆ กับพระเจ้าได้เป็นคนสอนคน  เพราะได้เรียนมานิดหน่อย แล้วเขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้สอนศาสนา   แม้ว่าเขาจะพยายามสอนศิษย์ให้เข้าใจเรื่องพระเจ้าอย่างไรก็ตาม แม้จะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม  เชื่อไหมว่า ลูกศิษย์ของเขาจะได้รับสิ่งที่เป็น “ความงงงัน” จากอาจารย์ของเขา เพราะอะไรหรือ ก็เพราะ ในเมื่อแม่ปูยังเดินไม่ตรงทาง แล้วแม่ปูจะสอนให้ลูกปูเดินตรงๆ ได้ยังไง มันฝืนธรรมชาติ  ในเมื่อคริสเตียนตัวแม่ยังทำไม่ได้ชัดเจนกับพระเจ้าแล้วจะให้คนที่มาเรียนด้วยทำได้หรือ

และสิ่งนี้คือ ความน่าสลดใจอันดับหนึ่งในศาสนาคริสต์  เพราะการที่จะแสวงหาพระเจ้าได้นั้น   ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะได้รับประสบการณ์กับพระเจ้าง่ายๆ  ผู้เชื่อมีความจำเป็นที่ต้องกลับใจใหม่อย่างแท้จริงก่อน  แล้วแสวงหาอย่างจริงจัง  เขาจึงจะได้พบพระเจ้า แต่ผู้นำศาสนากลับสอนเน้นไปที่การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา  การเข้าถึงพระเจ้าผ่านพระคัมภีร์  หากมีการสำแดงฤทธิ์  เข้าร่วมกิจกรรมงานอีเวนท์ต่างๆ  แต่การแสวงหารฤทธิ์เดชของพระเจ้ากลับไม่ยอมรับ

มนุษย์ที่เกิดมาทุกคนต้องเรียนรู้  ต้องเรียนหนังสือ หรือจาก
การศึกษาด้วยตนเอง ด้วยการรับรู้จากการอ่าน เขาจึงจะสามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ    เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น  ได้รับการสอนมากเพียงพอจนเขาเติบโต และส่งต่อความรู้ไปสู่คนรุ่นต่อไปได้   การจะเติบโตกับพระเจ้าได้  ต้องใช้เวลา และมีระบบการสอนที่ดี  มีครูที่ดีจึงจะสำเร็จได้ 

แต่มนุษย์ผู้เชื่อใหม่ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่ในความเชื่อพระเจ้า จะไปหาคนที่ชัดเจนกับพระเจ้าได้ที่ไหน  หายากนะ  ยากมากถึงมากที่สุด  ผมเองกว่าจะพบพระเจ้ายังหลงเดินทางในเขาวงกตแห่งศาสนาคริสต์ตั้งสี่สิบกว่าปี หลงไปโบสถ์ทุกๆ อาทิตย์ แม้ว่าบางวันจะมีฝนตก   ภรรยาก็ยังพยายามมาดัน  มาเข่น ให้ไปโบสถ์ให้ได้  ไปแล้วก็กลับมากินเหล้าเหมือนเดิม  ทำบาปเหมือนเดิม ไม่ชนะเนื้อหนังของตัวเอง   แต่คนที่โบสถ์เขาดีใจนะ เขาคิดว่า ผมเป็นคริสเตียนที่ดี เพราะไปให้เขาเห็นหน้าทุกอาทิตย์   ผมเองยังเคยคิดว่า ไปโบสถ์ทุกๆ อาทิตย์จะทำให้รอดบาปเลย




ข. ประสบการณ์อันน่าสลดใจประการที่ 2  เรื่องผลพระวิญญาณที่ไม่ใช่ฤทธิ์เดชของพระเจ้า

ในศาสนาคริสต์ที่ผมเคยหลงผิดคือ  พวกผู้นำบางกลุ่มเขาสอนและเชื่อกันว่า  คนที่มีพระเจ้าจะมีผลของพระวิญญาณ  เช่นมีความเมตตา มีปรานี  วาจาสุภาพ  รู้จักบังคับตน ถ่อมใจ  แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้สอนเลยว่า  ผลของการมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย  คือฤทธิ์เดชของผู้เชื่อ  สิทธิอำนาจเหนือวิญญาณร้าย  สามารถขับผี และวางมือให้คนหายป่วยได้ 

การสอนของผู้นำบางกลุ่มดูเหมือนเข้าไม่ถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้า   มุ่งแต่พายเรือในอ่าง  สอนซ้ำไปซ้ำมา  ให้คนมีความรู้ทางพระคัมภีร์ 
ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์เดชสิทธิอำนาจของผู้เชื่อ  ถ้าใครมีจะกลายเป็นคนบ้า  หรือพวกลัทธิเทียมเท็จ  เป็นพวกพระคริสต์ปลอม 

ฟังดูแล้วผลของพระวิญญาณตอนแรกดีมาก  แต่เรื่องฤทธิ์เดชอย่างหลังนี้ไม่มี  พวกเขาไม่สอนว่า ของประทานพระวิญญาณเรื่องฤทธิ์เดชบางอย่างไม่มีแล้ว เช่นอัครทูต  ถ้อยคำแห่งความรู้  ผู้เผยพระวจนะ

ผู้นำความเชื่อสอนว่า ของประทานที่เหลืออยู่ในคริสตจักรมีแค่ ตำแหน่ง
ศิษยาภิบาล  และครูสอนศาสนาเด็ก    นักถวาย  ผู้อุปภัปม์โบสถ์ (ต้องการเยอะ) แต่ของประทานที่เกี่ยวกับการใช้ฤทธิ์อำนาจ หรือผู้ที่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะถูกขับออกไปจากคริสตจักร (น่างงไหม)

ถ้าเป็นเรื่องผลของพระวิญญาณ  ผมคิดว่าผมก็น่าจะมีนะหลายข้อนะ ผลของพระเจ้าในตัวมนุษย์  เช่น  ผมมีความอดทน  มีความปราณี  เคยช่วยเด็กบ้านแตก  ผีบ้าข้างถนน   คนจรจัด  ผมพาไปอาบน้ำหลายคนแล้ว   ปีๆ หนึ่งผมแถบไม่ได้ทะเลาะหรือปะทะวาจากับใครๆ จนถึงขั้นขัดใจกัน  วางมวยกัน  หรือด่ากันแสบๆ  ผมว่าผมก็มีพระเจ้านา  แล้วคนจะคิดว่าผมไม่มีพระเจ้าได้ยังไง 

ผมคิดว่า การที่เราคิดว่าเราไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้าในตัว  เพราะเราได้รับคำสอนผิดๆ ที่นักศาสนามักจะสอนว่า เราไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าเท่านั้นที่มีฤทธิ์เดช  แล้วลูกาบทที่ 10 นั่นสอนเรื่องอะไรล่ะ  พระคริสต์ได้มอบฤทธิ์เดชให้สาวกของพระองค์ให้ไปรักษาคนป่วยและขับผี   แต่พวกนักศาสนาสอนว่า  เราไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้า บางคนพูดว่า ผมไม่มีฤทธิ์เดชอะไรสักอย่าง   แล้วแต่พระเจ้า

  10 ปี ก่อนที่ผมจะกลับใจจริงๆ ก่อนนั้นผมก็เชื่อพระเจ้า  ผมได้ตำแหน่งประธานคริสตจักรอยู่หลายปี หลายสมัย  โอย... ในตอนนั้นในความคิดของ  ผมคิดว่าผมโก้มากนะ  องค์กรคริสเตียนที่ผมสังกัดอยู่ ยังเชิญผมไปเป็นที่ปรึกษาของเขาเลย ไม่เชื่อไปถาม พวกเพนเทคอสแถวๆ บ้านผมดูว่า  จริงหรือไม่  แต่ผมไม่ได้ทำอะไรดีมากนักหรอก อย่างมากก็เป็นขาใหญ่ หน้าใหญ่ แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน   แต่พอตอนหลังเมื่อผมเริ่มเอาจริงกับพระเจ้า ผมกลับถูกปฏิเสธ ถูกรุม  ถูกกันออกไปจากกลุ่ม

เนื่องจาก   ระยะต่อมาผมเริ่มมีเรื่องแปลกๆ  เกิดขึ้นกับผมเรื่อยๆ  จนพวกเพนเทคอสที่เป็นกรรมการใหญ่บางคนรับไม่ได้  ผมไปอธิษฐานให้ผู้หญิงคนหนึ่ง  เธอล้มลงไป  และแสดงอาการเป็นคนอื่น   ผมก็เลยขับผีให้   ผมช่วยขับผีให้สมาชิกของเขาที่มางานของผม   พอ ศบ.ของเขาทราบ ก็บล็อกสมาชิกไม่ให้มาแสวงหาการขับผี  ตอนหลังผมเจอเธออีก เธอก็แสดงอาการผีอีก ผมก็ช่วยกันขับยกใหญ่กับทีมงาน แต่สิ่งนี้สร้างความวิตกกังวลให้กับ ศบ.ของเขามากที่สุด จนอยู่ไม่สุข

เนื่องจากเขาเชื่อว่า คริสเตียนสมาชิกของเขาไม่มีผี   เขาจึงเอาเรื่องไปฟ้องหัวหน้าเพนเทคอส. สมัยนั้น (ตอนนี้ยังหน้าสล่อนอยู่)  กรรมการก็เรียกผมไปตักเตือน ศบ.เก่าผมก็นั่งฟังทำเฉยไม่ช่วยอะไรผมสักคำ   ศบ.คนผีสิง ฟ้องหัวหน้าคณะฉอดๆ  กล่าวหาว่าผมอยากซ่า  หาว่าคนของเขามีผี   และไปล่วงเกินการปกครองสมาชิกของเขา กรรมการก็เชื่อและเรียกผมมาตักเตือน จนผมหน้าแหก หน้าเสีย เพราะเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง  ศบ.ของเขามั่นใจว่า คริสเตียนจะไม่มีผีสิง (แท้จริงอาจเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นเธอมีฐานะการเงินดีมากๆ  เขาคงกลัวว่าผมจะไปจิกเอาสมาชิกเขา  เขาคิดได้ยังไง  ตอนนั้นผมยังไม่คิดจะมีโบสถ์อะไรด้วยซ้ำ)

ในการประชุมฟื้นฟูพวกเยาวชนแถวบ้านผม  ผมไปร่วมงานแล้วเห็นเขาวางมือให้กับเยาวชนคริสเตียน  ผมก็ออกไปวางมือบ้าง  ปรากฎว่าเด็กที่ผมไปวางมือให้ล้มลงไปเป็นแถบๆ    บ้างก็สลบไป  บ้างก็ร้องเสียงดัง   บางก็ทำอาการเหมือนมีผีรบกวน  ร้องโหยหวน  ปรากฏว่าเกิดเรื่อง  พวกผู้นำถูก ศบ.ใหญ่เรียกประชุมใหญ่ ถามว่าใครเอาเรื่องล้มเข้ามา  เท่านั้นเอง  เรื่องการประชุมฟื้นฟูของอนุชนก็ถูกสั่งระงับ  ห้ามมีการนมัสการแบบเต้นโลด  เพราะเดี๋ยวจะมีการล้มเกิดขึ้นในโบสถ์อีก  รับไม่ได้    


ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากหรอกเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ว่าอะไรเป็นมาจากพระเจ้า อะไรมาจากผี ผมก็ไปร่วมงานฟื้นฟูบ่อยเกือบทุกงาน  ไปไหนก็มีคนขอให้วางมือให้ก็ทำ  คนก็ล้มกันตึงๆ เราก็มือใหม่ ก็เออแปลกดี ทำไมนะ ดีนะ คนก็หายผีก็ออก  แต่ว่าพวกกรรมการของเพนเทคอส บ้างคนไม่พอใจผมกับเรื่องนี้     เขาเห็นผมวางมือคนล้ม  พวกเขาเรียกผมไปนั่งสั่งสอน  ยังรุมประณามผมว่า  ไม่เหมาะสมที่ผมเที่ยวไปเอามือดันหัวคนให้ล้ม 

ผมรู้สึกท้อแท้  และสิ้นหวังและสับสนกับความเชื่อเรื่องฤทธิ์เดชของพระเจ้าของพวกเพนเทคอสในยุคนั้นมาก(ตอนนี้ยังมีตัวตนอยู่ครบยังไม่มีใครตาย แต่พวกเขายังไม่กล้ามาขอโทษผม เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่ได้ผิดอะไร –ผมเองสิที่ทำตัวใหญ่ เที่ยวไปเอามือดันหัวคนให้ลงไปนอนร้องไห้  ทำเสียงพิลึก และแสดงอาการหลับ)

ทั้งๆ ที่พวกเพนเทคอสคือคริสเตียนที่เชื่อเรื่องการบัพติสมา และการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาคือสายฤทธิ์เดช  แต่เขาบางคนไม่เชื่อว่าการล้มในพระวิญญาณด้วยการรับการวางมือของคนที่ไม่ได้มีตำแหน่งศาสนาจารย์ มันจะเป็นไปได้อย่างไร

  พวกเขาคงคิดว่าน่าจะเป็นการกระทำของคนบ้า  พวกกกรรมการของเขาเรียกผมไปคุยพร้อมลูกสาว  ผมรู้สึกสับสนว่าอะไรเกิดขึ้น  แต่ที่ผมรับรู้ได้คือ พวกเขาไม่เอาผมเข้าพวกเป็นกรรมการที่ปรึกษาแล้ว เพราะว่า ทำเกินหน้าเกินตาพวกเขา

 ไม่นานผมจึงออกมาจากกลุ่มเพนเทคอส  ไปหาคริสเตียนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรวยกว่า  อาคารโบสถ์ใหญ่กว่า (แต่มีคนเป็นสมาชิกจริงๆ ไม่ถึงห้าสิบ) ผมคาดหวังว่าจะไปช่วยเขาออกประกาศนำคนมารอด  แต่อยู่ไปเป็นปีไม่เห็นเขาทำอะไร   ดีแต่บอกว่า รอก่อนๆ  แต่ละอาทิตย์ก็สอนเรื่องเดิมๆ  ไม่ออกประกาศ คนที่มาร่วมนมัสการตอนเช้าก็มีแต่ญาติๆ กัน คนทำงานในกลุ่มของเขา 

ผมคาดหวังมากว่าคริสตจักรที่มีความพร้อมทุกอย่างทั้งรถ ทั้งทรัพยากร   น่าจะทำการประกาศข่าวประเสริฐได้ดี นำคนมาถึงพระเจ้าได้มากๆ 
แต่ผมก็ต้องผิดหวังอีกเพราะพวกเขาไม่เน้นการรักษาโรค  เขาเน้นหาเงิน  ทำโบสถ์ใหญ่หรูๆก็เพราะได้เงินฝรั่งมาทำ   ขอเงินเมืองนอก  จัดสัมมนา   

 
ผมจึงออกจากพวกเขา และถอยออกมา   ตอนนั้นผมคิดว่า    พระเจ้าอยู่กับผมจริงหรือ  แล้วผมจะไปอยู่ไหนดี  ไม่มีที่ไปเลย  พวกวัฒนธรรมเขาก็ไม่เอาขับผี  ไม่เอาพระวิญญาณ เขามุ่งเสริมสร้างคนให้เป็นสมาชิกที่ดีของโบสถ์เท่านั้น การประกาศเป็นเรื่องรอง และเขาไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าด้วยการวางมือรักษาโรค ไม่มีการขับผี   แล้วจะทำไงดี

พวกคริสเตียนต่างเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า   คนที่มีพระวิญญาณจะต้องมีผลพระวิญญาณเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์เดชของพระเจ้า  ไม่ต้องวางมือรักษาโรคได้ ไม่ต้องขับผีได้  

พวกเขาสอนสมาชิกของพวกเขาอย่างฝังหัวว่า  “การขับผีคือของประทาน”   ผมอยากจะด่าด้วยคำที่ทำให้กระดองใจของเขาเจ็บจนอยากจะอ๊วกว่า “ไอ้ อาจารย์ขี้ทู่
เอ้ย  แกไปเรียนมาจากสำนักไหนมา (xะ) ที่สอนว่าการขับผีคือของประทาน  มีพระคัมภีร์ข้อไหนบอกแก  อาจารย์คนไหนสอนหรือ   นั่นมันคำสอนของวิญญาณศาสนาชัดๆ   

พระคริสต์สั่งให้ผู้เชื่อออกไปประกาศด้วยการสร้างสาวก  ออกไปประกาศด้วยการวางมือรักษาโรค  และขับผีให้ออก  ไม่ใช่ออกไปแจกยาถ่ายพยาธิ    ออกไปแจกยาแก้ปวด  แจกทุนการศึกษา  ลงทุนซื้อที่ดินสร้างสถานอนุบาลเด็กอ่อน หาทุนจากเมืองนอกมาสร้างหอพักเด็กยากจนไร้สัญชาติที่มีเต็มบ้านเต็มเมืองแถวชายแดน แล้วคนที่ดูแลเด็กก็ขี่รถคันงามๆ พาครอบครัวสบายไปชาติหนึ่งหรือ (การสร้างหอพักเป็นสิ่งที่ดี แต่มีพวกไม่ประสงค์ดีปลอมปนอยู่มาก บ้างก็ให้ชาวต่างชาติยืมชื่อเพื่อกว้านซื้อที่ดินสร้างรีสอร์ท บ้านพักของชาวต่างชาติ)

การประกาศแบบใช้ผลพระวิญญาณด้วยการให้ความเมตตาแบบนี้สิ  ทำมา 180+ กว่าปีแล้วมันถึงไม่ได้ผลมากนัก คือได้ผลตอบสนองน้อยมาก  จนน่าละอาย  ทำโครงการมาสารพัด  ฝรั่งเอาเงินมาทุ่มไม่รู้กี่พันล้านก็ได้แค่ไม่ถึงสามแสน 

  พอโบสถ์ได้ชาวพุทธมาเป็นคริสต์ ก็เอาเขามาเป็นสมาชิก   สั่งเขาให้ออกจากบ้านทุกวันอาทิตย์  แม้จะไกลแค่ไหน  ก็ให้ไปโบสถ์ให้ได้  พวกเขาจะตั้งกลุ่มอธิษฐานที่บ้านก็ต้องมีใบอนุญาต  ต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศาสนาประจำโบสถ์ วิตกเกินไปจริงๆ พวกเขากลัวอะไรกัน  คนจะรวมกลุ่มกันเพื่ออธิษฐาน สามัคคีธรรมในบ้านของตัวเองยักงต้องขออนุญาตจากกรรมการศาสนา 

ค. ประสบการณ์น่าสลดประการที่ 3 เรื่องการรบเร้าหักเงินสิบเปอร์เซ็นต์ถวายให้กับคริสตจักร

ในพระคัมภีร์ใหม่  มีพระคัมภีร์ข้อไหนสอนให้ไปสร้างสมาชิก  แล้วให้เขาอยู่กับโบสถ์ไปจนตาย   สั่งให้เขาถวายทรัพย์ให้กับโบสถ์ด้วยเงินรายได้สิบเปอร์สิบเซนต์ก่อนหักภาษี   ใครที่เจอแบบนี้  ผมขอบอกว่า   ใครก็ตามที่สั่งสอนแถบขู่บังคับสมาชิก หรือตอกย้ำ  พูดถี่ๆ เทศนาถี่ๆ ให้ท่านถวายให้กับพระเจ้าผ่านทางคริสตจักรเท่านั้น  คือการให้พระเจ้า 10 เปอร์เซ็นต์แล้วพระเจ้าจะอวยพร  จะรวย   ถ้าใครไม่ทำพระเจ้าไม่อวยพร  การสอนเช่นนี้เป็นคำสอนที่ดีพอใช้เพราะจะมีเงินบำรุงศาสนา

แต่.... ไม่ใช่คำสั่งของพระคริสต์นะครับ  การสอนว่าถ้าไม่ถวายสิบลดพระเจ้าไม่อวยพร(ให้มีเงิน- ให้มั่งมี) เป็นแค่คำขู่  เป็นคำสอนที่มุ่งล้อมกรอบให้สมาชิกทำเพื่อให้โบสถ์รวยขึ้นเท่านั้น  ไม่จริงหรอก  ดูไปรอบๆ สิ คนไม่เชื่อพระเจ้าเขารวยกว่าคริสเตียนอีก เขาถวายเกินสิบลดด้วยซ้ำ  บางคนถวายเป็นสิบๆ ล้านให้กับศาสนา  เขาก็รวยได้เหมือนกัน  ไม่จำเป็นเลย ถ้าเขาถวายให้กับพระอื่นแล้วรวยแสดงว่า  อะไรล่ะ  น่าคิดนะ

คนที่ถูกบังคับให้ถวายไม่ลองสังเกตหรือว่า  คนที่สอนท่านถวายด้วยหรือเปล่า แล้วเขาทำไมยังยากจนอยู่ล่ะ

ผมได้รับการสอนบ่อยๆ เรื่องการถวายทรัพย์  การเอาเงินเอาทรัพย์มอบให้กับองค์กรในศาสนา

เขาสอนเน้นว่าการถวายทรัพย์ ปัจจัยให้กับคริสตจักรเป็นการให้กับพระเจ้า   ผมไม่เห็นพระเจ้าได้ใช้เงินเลย   เห็นเขาเอาไปสร้างถาวรวัตถุ  สร้างอาคาร  และเหลือตัดเป็นเงินให้คนงานของพระเจ้าเล็กน้อย  ไม่มาก  ไม่ให้อดตาย แต่ก็ไม่ให้รวย 

ผมคิดว่าสิ่งที่ครอบครัวของเราได้อุทิศให้กับองค์กรศาสนาคริสต์ที่เราเคยเข้าร่วมเป็นระยะเวลาเกือบทั้งชีวิต  คิดเป็นเงินในสวรรค์ก็คงเยอะอยู่  ถ้าเราคิดแบบนี้ ผมคิดว่า ในเมื่อการทำประกันชีวิตยังมีวันหยุดเมื่อส่งเงินต้นสำหรับค่าประกันภัยไปแล้วตามกำหนด ไม่ว่าจะเป็นสิบปี หรือยี่สิบปี   แล้วการที่เราถวายทรัพย์ให้กับโบสถ์คริสต์มาตั้งสามสี่สิบปีนี่  เราก็น่าจะมีเงินสะสมเพียงพอแล้วในสวรรค์  ถ้าคำสอนเรื่องการถวายทรัพย์ให้โบสถ์คือการสะสมไว้ในสวรรค์

อย่างไรก็ตามผมยังไม่ แน่ใจว่า  เราจะเอาเงินไปใช้มากมายทำไมในสวรรค์เพราะว่า  ที่นั่นไม่ต้องซื้อมือถือแพงๆ   เครื่องใช้หรืออุปกรณ์อะไรๆ  ก็ไม่เหมือนของโลก แล้วจะเอาเงินของโลกไปซื้ออะไร   ตกลงเราถวายเงินไปให้ใครกันแน่   แท้จริงพระเจ้าต้องการปัจจัย หรือว่าผู้่นำต้องการเงินของเรากันแน่

แต่ผมเชื่อว่า แม้ผมจะเอาเงินถวายไปให้พระเจ้าสักกี่ล้าน พระเจ้าก็คงไม่พอใจมากเท่ากับการที่ผมได้บังเกิดใหม่  แล้วพยายามสอนคนอื่นๆ ให้บังเกิดใหม่ด้วย  แต่ตอนนั้นคงไม่ใช่นะ  ผมไม่ได้เลิกบาป  ยังทำสิ่งน่าอับอาย  ยังเสพบาปเป็นอาหารแล้วผมจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร  ศาสนาคงหลอกผม

ผม ไม่ได้รับรู้เรื่องจริงของพระเจ้า รับรู้เรื่องฤทธิ์เดช การใช้ฤทธิ์เดชจากคริสตจักรที่ผมไปร่วมเลย  ผมรู้สึกตกใจว่าทำไมไม่มีใครสอนผมเรื่องการใช้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านทางผู้เชื่อ
  ผมได้รับรู้แต่ว่า คริสเตียนที่ดีต้องไปโบสถ์  ต้องอยู่ติดโบสถ์  ต้องร่วมกิจกรรมโบสถ์  ถวายเงินเข้าโบสถ์   เมื่อมีอายุมากขึ้น ก็ต้องรับใช้งานโบสถ์  เพื่อสนองคำสอนของผู้นำจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง   เอาแบบนั้นเลยหรือ   โอ้... สุดยอด

ในเมื่อพวกคริสเตียนบางกลุ่มสอนกันว่า  พันธสัญญาเดิมนั้นได้ล้มเลิกไปแล้ว  แล้วจะไปเอาธรรมเนียมการถวายตามอย่างบุคคลในสมัยโบราณมาใช้อีกทำไม   แท้จริงในพระคัมภีร์ใหม่ สาวกท่านสอนว่า  ให้ผู้เชื่อถวายตามใจศรัทธา  ด้วยความเต็มใจ  ไม่ให้นึกเสียดาย  ไม่ใช่การถวายแล้วคาดหวังจะได้คืนมาสามสิบเท่า  ห้าสิบเท่า หรือบางคนโลภอย่างได้ร้อยเท่า

การถวายต้องมาจากความเข้าใจ ความเต็มใจ  ผลไม้ต้องเกิดจากต้นไม้ที่เติบโตแล้วไม่ใช่การรีดเลือดจากปู  ไม่ใช่การขู่  ไม่ใช่การบังคับเข่นให้ทำเพื่อให้องค์กรศาสนาขับเคลื่อนไปได้ หรือเพื่อไม่ให้คนทำงานอดอยาก   แท้จริงการถวายปัจจัยต่อผู้สอนของตนเป็นเรื่องความกตัญญู การรู้คุณพระเจ้า รู้คุณคนไม่ใช่หรือ ทำไมต้องเอาคำแช่งสาปมาขู่  ทำไมต้องอ้างว่าจะมั่งคั่ง  ถ้าถวายให้โบสถ์  เอายังไงกันแน่ พระเจ้าหรือโบสถ์

การถวายให้กับพระเจ้า  คือการเอาส่วนรายได้แบ่งปันให้คนที่สอนเรา  คนอนาถา  หญิงหม้าย  เด็กกำพร้า  เพื่อแบ่งปันความสุข  บรรเทาความทุกข์ให้กับคนในแผ่นดินไม่ใช่หรือ   แต่ทำไมโบสถ์ไม่จัดสรรเงินให้สอดคล้องกับคำสอนเรื่องของถวายในพระคัมภีร์ล่ะ  ทำไมเป็นเช่นนั้น


ข้อสังเกตอันน่าสลดสามประการนี้   คือสิ่งที่เป็นประสบการณ์ที่ผมเห็นว่า  ผู้เชื่อพระเจ้าต้องระมัดระวัง  เพราะการมาหาพระเจ้าไม่ใช่การมาเพื่อจะอยู่ในศาสนา  ไม่ใช่เป็นเพียงการเปลี่ยนศาสนา   ไม่ใช่เป็นการมุ่งแสวงหา ลาภ ยศ  ตำแหน่งและคำสรรเสริญ  แต่ว่าเป็นการแสวงพระเจ้า เพื่อมุ่งมาหาทางรอดพ้นทุกข์  พ้นอำนาจบาป  เพื่อจะได้พบชีวิตที่สุขสงบ   หลังจากนั้นผู้เชื่อที่แสวงหาของประทานจากพระเจ้าในฤทธิ์เดช  เพื่อจะเป็นพรต่อคนอื่น  เพื่อเรียนรู้และเติบโตและออกไปปลดปล่อยคนอื่นๆให้มาถึงความรอด  

ที่เล่าให้ฟังเพื่อท่านจะได้ทราบว่า  ทุกวันนี้ คริสตจักรจะสอนอะไรกันแน่  สอนให้คนเป็นสมาชิกเหมือนเป็นชมรม  หรือสโมสร  เพื่อพดุงศาสนางั้นหรือ   

ผู้เชื่อจะได้พบพระเจ้าจริงๆ แล้วหรือ   หรือว่ายังอยู่ในแค่ระดับสมาชิกของศาสนา ถูกผู้นำความเชื่อละเมิด  บิดเบื้อนให้เป็นผู้เชื่อที่มีคุณค่า   และมอบตำแหน่งสมาชิกอมตะถาวร  ถูกเขาใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาลาภ ยศ  ตำแหน่งในกลุ่มคริสตจักร 

แต่ผู้่เชื่อไม่ได้รับรู้ว่า  เป้าหมายสูงสุดของการเป็นผู้เชื่อพระคริสต์คืออะไร   คือการเป็นสมาชิกถาวร  หรือเป็นสาวกพระคริสต์ผู้ที่จะออกไปปลูกสร้างคริสตจักร   นำคนบาปมาถึงความรอดในช่วงชีวิตของตนให้ได้มากที่สุดเท่าที่สามารถ  หรือปลายทางของผู้เชื่อคือการไต่เต้าไปสู้การได้ตำแหน่งทางศาสนา เพื่อหน้าตา  ตำแหน่ง  และการส่งต่ออุดมการณ์ของกลุ่ม  จนละเลยพระมหาบัญชาของพระคริสต์

นอกจากนี้ ผู้เชื่อจำนวนมากยังถูกละเมิดสิทธิการเป็นลูกของพระเจ้าที่จะต้องได้รับการสั่งสอนในทางที่ถูกต้องจากคนที่สั่งสอนอย่างตรงไปตรงมาตามพระวจนะของพระเจ้า  ไม่ใช่เลือกสอนแต่สิ่งที่ทำให้สมาชิกหลงดีใจไปวันๆ  แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นในชีวิตมากกว่าการได้เป็นสมาชิกของระบบศาสนาที่แต่ละปีไม่สามารถนำใครมาถึงความรอดเลย

คำสอนสุดฮิตของคริสเตียนคือ ในเวลา 365 วัน ให้พยายามนำคนไม่รู้จักพระเจ้าให้มารับความรอดอย่างน้อยให้ได้ 1 คนขึ้นไป  แต่เชื่อไหมครับ คริสเตียนบางคนที่มีผลพระวิญญาณเพียบ แต่ผ่านไปตั้งหลายปียังไม่เคยนำใครมาถึงพระเจ้าเลย    แต่พวกเขากลับรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ทำงานรับใช้เล็กๆ น้อยให้กับกิจกรรมต่างๆ ของโบสถ์จนทำให้เขาลืมเรื่องการเกิดผลในพระคริสต์ที่สำคัญกว่า ผลของพระวิญญาณคือ การนำคนอื่นๆ มาถึงความรอดในพระคริสต์!!!

ผิด-ถูกท่านสามารถแยกแยะ วิเคราะห์ดูนะครับว่าจริงหรือไม   สำหรับคนที่ผมอ้างถึง  หากต้องการความชัดเจน ถูกต้อง   ท่านสามารถมาหาผมที่บ้านได้  หรือจะมาติติงผมได้ว่า สิ่งที่ผมพูดไปมันไม่มีความจริง เพราะผมมีทั้งพยานและหลักฐานพร้อม ไม่ได้พูดเท็จเพื่ออยากดัง แต่ผมอยากบอกว่า  ระบบการศาสนามีไว้เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช่เพื่อบังคับคนให้หลงผิด  

วิญญาณศาสนามันมีจริง มันอยู่เพื่อผลประโยชน์  และมันต้องการทำให้งานประกาศเป็นหมัน  ไร้ประสิทธิภาพ  องค์กรคริสเตียนลงทุนสูงทำมาก หว่านมากแต่เก็บเกี่ยวน้อย  เพราะทำไม่ถูกวิธี  ไม่ได้ทำอย่างที่พระคริสต์สั่งให้ทำ   แต่ทำด้วยวิธีการของมนุษย์  จึงได้ผลเพียงเล็กน้อย

สิ่งที่น่าสลดใจข้อที่ 4 ผมยังไม่มีเวลาเขียน

เรื่องน่าสลดประการที่ 4 คือ การให้เพียงบัพติสมาของยอห์น แต่ไม่สอน หรือละเว้น เพิกเฉย เรื่องการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระคริสต์สัญญาว่าจะให้กับผู้เชื่อ 

มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ชัดเจนมากๆ หลายแห่ง แต่พวกเขาละเลย  ไม่เขียนไว้ในหลักข้อเชื่อเพราะสิ่งนี้มันหายไปจากเขาแล้วเพราะความไม่เชื่อ


ขณะที่ยอห์นได้ให้คนไปรับบัพติสมาแบบน้ำ

"
ยอห์นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า

"เราให้เจ้ารับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ" (ลูกา 3:16)


 เรื่องนี้สำคัญมากที่สุดสำหรับชีวิตคริสเตียน แต่คริสเตียนไม่ได้รับการสอน  หรือได้รับสอนแบบผิดๆ  จึงไม่เข้าใจ ไม่หิวกระหาย พวกอาจารย์ใหญ่หลบมุม  ยักไว้  ไม่กล้าสอน เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ว่าได้รับแล้วหรือยัง    ผู้เชื่อจึงไม่ได้รับฤทธืเดชของพระเจ้า จึงขาดโอกาสในการใช้ของประทานอันล้ำเลิศของพระเจ้าที่มีไว้พร้อมสำหรับผู้เชื่อ 

ขอพระเจ้าอวยพรให้หลุดพ้นจากการเป็นทาสอย่างแท้จริง

@rice mu
HOME

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)