พระเยซูคือผู้ใด Who Is Jesus Christ


พระเยซูคริสต์ คือผู้ใด
 Who Is Jesus Christ?



พี่น้องที่รัก  ท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงของพระเยซูมาบ้าง แต่ท่านอาจยังไม่รู้แน่ชัดว่าพระองค์คือใคร   ทำไมมนุษย์จึงมีความจำเป็นต้องรู้จักพระองค์ด้วย  ถ้าใครได้ได้ไม่รู้จักพระเยซู  เขาคนนั้นจะต้องเสียใจยิ่งกว่าพลาดโอกาสครั้งสำคัญใดๆ ในชีวิตอย่างแน่นอน  ทำไมคนมากมายชอบทำอะไรบ้าๆ เพื่อให้คนอื่นได้รู้จักพระเยซู คนต่างชาติหลายชาติละทิ้งบ้านเรือน และถิ่นฐานเพื่อมาประกาศเรื่องพระเยซูในประเทศไทย  บ้างมาแล้วลูกเมียตาย ตัวเองก็ลำบาก บางคนยอมตายเพื่อความเชื่อในพระเยซู บางคนถูกพ่อแม่ วงศ์ตระกูลตัดขาดเพราะรับเชื่อพระเยซู  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น  ทำไม ทำไม และทำไม


หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่แสวงหาความจริง เชื่อในสัจจะ ลองเปิดใจสักนิด  บทความนี้กำลังพยายามเล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูอย่างง่ายๆ สั้นๆ ย่อ ๆ ในมุมมองของผู้เชื่อคนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับความรักของพระเยซูคริสต์เจ้า ผมอยากจะเล่าว่าพระเยซูเป็นผู้ใดอย่างง่ายๆ  ตรงประเด็นพอสังเขปเพื่ออธิบายให้ท่านผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ว่า ทำไมต้องเป็นพระเยซูคริสต์




                                                      พระเยซูรักคุณ

ก่อนที่พระเยซูจะมาบังเกิดในโลกมีคำพยากรณ์กล่าวถึงการมาของพระองค์หลายพันปีก่อนแล้ว  คำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูเริ่มตั้งแต่หนังสือปฐมกาล คือหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

และในพระธรรมอิสยาห์ บทที่ 7 ข้อ 14 กล่าวว่า

"เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล แปลว่า พระเจ้าทรงสถิตกับเราทั้งหลาย"

เรื่องราวของพระเยซูคริสต์  ถูกบันทึกไว้จากการเขียนบันทึกเล่าเรื่องของสาวกของพระองค์บางคน (คลิกที่ลิงค์)  ตั้งแต่การอ้างถึงเรื่องคำพยากรณ์ก่อนที่พระเยซูจะมาบังเกิดหลายร้อยปี  พระเยซูมาบังเกิดจากครอบครัวคนธรรมดาคือชายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฝผู้มีเชื้อสายเป็นกษัตริย์ กับนางมารีย์พระมารดา

ในคราวนั้นบิดาและมารดาของพระองค์ต้องถูกเกณฑ์ให้เดินทางไกลไปจดทะเบียนสำรวจสำมะโนครัวในขณะที่ท้องแก่ใกล้คลอด
  ในสมัยที่ประเทศอิสราเอลตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน (Roman Empire)
                        
                     แผนที่จักรวรรดิ์โรมันอันยิ่งใหญ่(สีแดง)

ในคราวที่จักรพรรดิ์ออกัสตัส (AugustusCaesar )  ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ์โรมันอันยิ่งใหญ่  ชื่อเดิมของท่าน คือ Octavian (27 ปีก่อนคริสตศักราช - ปี ค.ศ.14)  พระคัมภีร์บันทึกชื่อผู้อ้างอิงไว้มากมายเพื่อจะเป็นพยานยืนยันความจริงว่า เรื่องการกำเนิดของพระคริสต์นั้นไม่ใช่ตำนานเหลวไหล แต่สามารถค้นคว้าจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากแหล่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่พระคัมภีร์ได้ว่าเป็นความจริง

จักรพรรดิ์ ออกัสตัส (Octavian) คือผู้ปกครองดินแดนประเทศต่างๆ ในแถบปาเลสไตน์ในสมัยที่พระคริสต์มาบังเกิด  กษัตริย์ได้สั่งให้ประชากรในการปกครองของโรมันทุกคนให้กลับไปลงทะเบียนสำรวจประชากร  ตามภูมิลำเนาเดิมในทะเบียนบ้านของตน  เมื่อบิดาและมารดาของพระเยซูเดินทางไปถึงหมู่บ้านเบธเลเฮม ปรากฎว่าโรงแรมต่างๆ เต็มหมด  ไม่มีที่พักใดมีห้องว่างให้เข้าพักได้  เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งได้อนุญาตให้นางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเข้าพักในส่วนของโรงแรมที่มีจัดเป็นโรงผูกสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์พาหนะของผู้เดินทาง    ในที่นี้เองนางมารีย์ก็ได้ให้กำเนิดพระเยซูในโรงวัวของโรงแรมในชนบทธรรมดา แห่งหนึ่ง

พระเยซูบังเกิดในรางหญ้าในโรงวัว

เนื่องจากไม่มีที่พักในโรงแรมมีห้องว่างเหลือพอให้พระมารดาเข้าพักได้ เจ้าของโรงแรมคงจะเห็นใจที่นางมารีย์เป็นหญิงท้องแก่ จึงให้เข้าไปพักในโรงวัว  ซึ่งเป็นที่พักสำหรับสัตว์พาหนะของแขกที่นำมาผูกไว้ใต้ถุนโรงแรมในสมัยนั้น พระเยซูเลือกสถานที่เกิดที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อเปิดโอกาสให้กับคนทุกๆ ชนชั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าถึงพระองค์ได้ง่ายๆ   ถ้าพระเยซูเลือกไปเกิดในพระราชวัง คงเป็นการยากที่ใครๆ จะสามารถเข้าพบพระองค์ได้ง่ายๆ 

ในคืนที่พระเยซูประสูติมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่าง มีคนหลายชนชั้น หลายกลุ่มพยายามแสวงหาเพื่อจะพบพระองค์ ด้วยจุดประสงค์ต่างๆ กันไป การมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์เป็นการบังเกิดที่อัศจรรย์ และมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความผิดบาป  คำแช่งสาป และการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิญญาณร้ายที่คริสเตียนเรียกว่าซาตาน

พระเยซูคริสต์ คือพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุดแต่พระองค์เดียวในจักรวาล  พระเยซูทรงสละพระบัลลังค์จากสวรรค์ลงมาปฏิสนธิ์ในครรภ์ของหญิงพรหมจารีย์ชื่อ นางสาวมารีย์  พระองค์ได้มาบังเกิดโดยอาศัยครรภ์ของนางสาวมารีย์เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็น "บุตรมนุษย์"  การตั้งครรภ์ของนางสาว
มารีย์ไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธุ์กันตามธรรมชาติของมนุษย์ชาย-หญิง  แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

 (โยเซฝและนางมารีย์ ต่างได้รับการสื่อสารจากทูตของพระเจ้าว่าจะมีเหตุบังเกิดของพระคริสต์)

ก่อนพระคริสต์ประสูติ  นางมารีย์และโยเซฝเป็นคู่หมั้นกันแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน  มีทูตสวรรค์ (ผู้สื่อสารของพระเจ้า) มาบอกโซเซฝว่า อย่ากลัวที่จะรับนางมารีย์มาเป็นภรรยา แม้ว่าจะพบว่านางได้ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงาน   แม้ว่าทั้งคู่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กัน  เพราะว่าการตั้งครรภ์ของนางมารีย์นั้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้พระเยซูพระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดจากครรภ์ของนาง  นางมารีย์นั้นเป็นสาวพรหมจารี  ไม่เคยข้องแวะกับชายใดๆ มาก่อน

ส่วนนางมารีย์เอง พระเจ้าก็ส่งทูตของพระองค์มาทาบทามว่า  นางจะสามารถยอมรับได้ไหมว่า สาวพรหมจารีอย่างเธอจะได้รับพรให้เป็นผู้อุ้มบุญ อุ้มท้องบุตรที่เกิดจากการจุติของพระเจ้า  คือพระเยซูคริสต์ในขณะที่เธอเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่  และการที่เธอได้รับหมั้นผู้ชายไว้แล้วอาจทำให้เธอเสียชื่อ และถูกถอนหมั้น  แต่นางมารีย์เป็นผู้มีใจศรัทธา นับถือยำเกรงพระเจ้า  เมื่อเธอได้รับการข่าวสารนี้จากทูต  เธอจึงยอมรับการอวยพรของพระเจ้าให้พระเยซูพระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิตในครรภ์ของเธออย่างเหนือปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ

เมื่อพระเยซูประสูติแล้วได้ไม่กี่วันพระองค์ต้องถูกพระราชาเฮโรดที่ปกครองในเขตนั้น (แค้วนยูเดีย) ปองร้ายด้วยการที่พระราชาสั่งให้ทหารจัดการฆ่าทารกเพศชายทุกคนที่อายุต่ำกว่าสองขวบลงมาที่เกิดในละแวกหมู่บ้านเบธเลเฮ็มสถานที่พวกเขาคาดว่าพระเยซูคริสต์ได้มาบังเกิดที่นั่น เพื่อให้ตายให้หมดเพื่อขจัดเสี้ยนหนาม เพราะมีข่าวว่าพระองค์จะมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่

สาเหตุที่พระราชาเฮโรคได้รับรู้ว่ามีกษัตริย์องค์ใหม่มาบังเกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮ็มก็เพราะมีคนที่อ้างตัวว่าเป็นนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมาเสาะหาพระองค์ในช่วงเวลาการประสูติของพระเยซูคริสต์เจ้า พวกนักปราชญ์พวกนี้  คนเขาถือกันว่าเป็นพวกที่เป็นนักปราญช์หรือโหราจารย์ที่ฉลาดมาก แต่สิ่งที่พวกเขาทำกลับทำสิ่งที่ขาดความระมัดระวัง   เพราะพวกเขาไปติดตามสอบถามหาที่ประสูติของกษัตริย์องค์ใหม่ จากพระราชาที่ปกครองอยู่  ผลที่ตามมาก็คือเด็กทารกที่เกิดในหมู่บ้านเดียวกันในช่วงที่พระเยซูบังเกิด ต้องตายไปมากมาย

พระมารดาและว่าที่บิดา (นายโยเซฝ) ของพระองค์ ได้รับการเตือนจากเทวทูตของพระเจ้าให้หนีไปอยู่ต่างประเทศ คือพระเทศอียิปต์เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกสังหาร  มารีย์และโยเซฝจึงพาพระกุมารหนีไปในเวลากลางคืนและไปอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์   จนกระทั้งพระราชาเฮโรดสิ้นชีวิต พระเยซูเจ้าจึงถูกพากลับมาเลี้ยงดูให้เติบโตในอีกเมืองหนึ่งชื่อเมือง นาซาเร็ธ  พระเยซูอาจจะเคยฝึกงานกับว่าที่บิดาของพระองค์คือโยเซฝด้วยการเป็นช่างไม้ 

พระเยซูเจ้าดำเนินชีวิตในภาวะแห่งความยากจนและไม่มีใครรู้จักในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อหมู่นาซาเร็ธ  พระเยซูคริสต์ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีอิทธิพลทางการเมือง หรือได้รับการปกป้องจากการที่พระองค์มีสายเลือดเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด  กษัตริย์ที่พระองค์สืบเชื้อสายมาทางบิดา หรือคนชั้นสูง  เนื่องจากพระองค์เติบโตที่เมืองนาซาเร็ธ  พระองค์จึงมีสร้อยสกุลต่อท้ายว่า พระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ หรือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ (พระเยซูไม่ได้เป็นชาวนา  แต่มาจากหมู่บ้านนาซาเร็ธ)

พระราชประวัติของพระเยซูไม่ปรากฏมากนักในหนังสือพระคัมภีร์เพราะขณะที่พระองค์อยู่ในวัยเยาว์  พระองค์ทำให้กษัตริย์ตื่นตระหนกและหวาดระแวง เพราะว่ามีคนอ้างว่าพระองค์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่มาบังเกิดตามที่กล่าวมาแล้ว

ภาพแสดงเหตุการณ์ พระเยซูขณะอายุ 12 ขวบโต้ตอบกับอาจารย์ทางศาสนาในพระวิหาร

เมื่อพระเยซูอายุได้แค่สิบสองปี พระมารดาได้พาพระองค์ไปยังพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ได้สนทนาธรรมกับพวกอาจารย์ทางพระศาสนายูดา  พระองค์ทรงทำให้พวกนักอาจารย์ทางศาสนา  หรือพวกธรรมาจารย์ต้องประหลาดใจในความแตกฉานด้านพระคัมภีร์ และพระปัญญาของพระองค์ที่ได้รับจากพระเจ้า   พวกอาจารย์ทางศาสนาต่างตลึงในความรอบรู้ของพระกุมารเมื่อพระองค์ทรงสนทนาธรรมกับพวกอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายอย่างลึกซึ้ง  เพราะความรู้ของพระองค์ได้รับโดยตรงจากพระเจ้า

พระเยซูคริสต์มีชีวิตที่เกิดมาอย่างมีเป้าหมาย  พระองค์ได้สละความหวังหรือเป้าประสงค์ในชีวิตสำหรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือการสร้างความสำเร็จ การมีครอบครัว การแต่งงาน  การสร้างความมั่นคงของชีวิตตามแบบที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปต้องการแสวงหา  ในสรวงสวรรค์  พระองค์ทรงเคยร่ำรวยและอยู่ฐานะที่สูงส่งแต่เพื่อเห็นแก่การช่วยคนบาปให้รอดพ้น และช่วยคนเจ็บป่วยให้หายดี  พระองค์จึงยอมมาบังเกิดในครอบครัวคนยากจน มีฐานะยากจน

เมื่อพระเยซูคริสต์อายุได้ 30 ปี พระเยซูคริสต์ก็เริ่มออกมาทำพันธกิจแห่งความรอดบาป  เริ่มจากการออกไปรับบัพติสมากับผู้ทำนายชื่อ ยอห์น บัพติสมา 
                    การรับบัพติสมาของพระเยซู ทำให้พระองค์ได้รับฤทธิ์เดชของพระเจ้า


หลังจากรับบัพติสมาแล้ว (การเข้ารีตชำระบาปตามแบบของยอห์น) พระวิญญาณของพระเจ้าได้ชักนำพระเยซูให้ออกไปอาศัยในทะเลทราย เพื่ออดอาหารและรับการทดลองใจให้ทำบาป เป็นเวลาสี่สิบวัน

แต่พระองค์ทรงมีชัยเหนือการทดสอบของวิญญาณชั่วที่มาทดสอบพระองค์  ทั้งสามประการ  คือ หนึ่งการยั่วยุให้ใช้อำนาจของพระเจ้า  ยั่วยุให้กราบไหว้วิญญาณอื่นแล้วจะได้ทรัพย์สมบัติ  ได้ปกครองราชอาณาจักรต่างๆ  และข้อสาม  การทดสอบให้ทดลองว่าพระเจ้าจะคุ้มครองพระองค์หรือเปล่า หากพระองค์กระโดดลงจากที่สูงๆ  พระเยซูสามารถผ่านการทดสอบในครั้งนี้ และซาตาน (หัวหน้าของวิญญาณชั่ว) ได้ถอยไปจากพระองค์ชั่วคราว

(บรรยายภาพ: พระเยซูทรงเลือกศิษย์เอก 12 คนเพื่อให้ติดตามและเรียนรู้จากพระองค์)

หลังจากนั้นพระเยซูได้ออกไปสั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า (การปกครองของพระเจ้าในจิตใจของผู้ที่เชื่อ)  หลังจากนั้นพระเยซูคริสต์ได้คัดเลือกสาวก  หรือคนที่จะรับคำสอน และรับการฝึกตนให้เป็นผู้สืบทอดคำสอนของพระองค์จำนวน 12 คน  พระองค์ออกเดินทางไปในแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อประกาศถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ด้วยการรักษาคนป่วยด้วยคำพูดศักดิ์สิทธิ์  แม้คนที่มีผีสิง  คนป่วย  คนพิการ  คนตาบอด หูหนวก  คนบ้า ก็ได้รับการรักษาจากพระเยซูเพียงแค่พระองค์สั่งให้หาย ก็หายสิ้นทุกคน

ในขณะที่พระเยซูออกไปสั่งสอนเรื่องการปกครองของพระเจ้าทางจิตวิญญาณแก่ประชาชน   พระองค์นอนในที่พักที่คนอื่นจัดให้  พระองค์ขี่ลาของคนอื่น  พระองค์ออกเดินทางไปทั่วแว่นแคว้นรอบๆ ทะเลสาปกาลิลีในแถบตะวันออกกลาง  เดินพลางประกาศพลางให้คนกลับใจเสียใหม่ (กลับใจใหม่แปลว่า ละเลิกจากวิถีชีวิตที่ติดตามวิถีแห่งวัฒนธรรมของท้องถิ่น -วัฒนธรรมท้องถิ่นคือการถือศาสนาแต่เปลือกนอก  การถือพิธีกรรม  การปฏิบัติศาสนกิจเพื่อเอาหน้า การทำบุญเพื่อจะได้ไปสวรรค์) พระองค์สอนให้ละทิ้งความบาปชั่ว ความคิดชั่ว เลิกกราบไหว้รูปเคารพและวิญญาณต่างๆ   ให้หันมาดำเนินชีวิตด้วยความรัก  ด้วยการให้  ด้วยการเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น

พระเยซูคริสต์คงได้รับอาหารจากคนที่ติดตามพระองค์ถวายให้  หลายครั้งพระเยซูได้รับเชิญให้ไปรับประทานอาหารกับคนที่มีฐานะดีที่ติดตาม พระองค์  ในขณะออกไปประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าพระเยซูไม่ต้องทำมาหากินเพื่อ เลี้ยงชีพ  และพระองค์ยังมีสาวกที่สละทุกสิ่งติดตามพระองค์ถึงสิบสองคน   หลายคนเป็นชาวประมงไม่ค่อยมีการศึกษา  ศิษย์บางคนก็อยากเป็นใหญ่กว่าคนอื่น บางคนก็ติดตามพระองค์ด้วยความโลภจนเป็นเหตุให้เขายอมรับสินบนเพื่อชี้ตัวมอบ พระองค์ให้กับเหล่าศัตรูของพระองค์

การประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ทำให้เป็นที่ขัดเคืองใจของผู้นำศาสนายูดาในสมัยนั้นอย่างมาก  เพราะพวกเขาหวั่นเกรงว่า ถ้าคนหลงติดตามพระเยซูมากๆ  ศาสนาของเขาก็จะเสียประโยชน์  คนจะเลิกติดตามศาสนาแต่หันไปติดตามคำสอนใหม่ที่พระคริสต์สั่งสอน คือการดำเนินชีวิตด้วยความรัก  รู้จักให้อภัย  รู้จักยกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อเรา  และดำเนินชีวิตด้วยความเกรงกลัวพระเจ้ามากกว่า การหลงติดตามคำสอนของผู้นำทางศาสนา  และปฏิบัติพระเจ้าเพียงแค่เป็นพิธีกรรมทางศาสนา 

พระเยซูใช้เวลาประกาศเรื่องการปกครองของพระเจ้าประมาณสามปีเท่านั้น  ยิ่งนานวันผู้คนยิ่งติดตามพระเยซูมากขึ้นๆ  พวกผู้นำศาสนาจึงร่วมมือกันวางแผนให้ร้ายพระเยซู  โดยกล่าวหาว่า  พระองค์อ้างตัวเท่าเทียมกับพระเจ้า (พระยาเวห์) โดยการที่พระเยซูประกาศว่าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า  เป็นพระบุตรของพระเจ้าซึ่งถือเป็นการหมิ่นประมาทศาสนาของชาวยิวที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว

นอกจากข้อหานี้พวกเขายังได้กล่าวหาว่าพระเยซูพยายามตั้งตัวเป็นกษัตริย์เหนือประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน (อิตาลี่)  โดยการเสี้ยมสอนให้ประชาชนที่ติดตามกระด้างกระเดื่องต่อผู้ปกครองของเขา  (ในสมัยนั้นประเทศอิสราเอลตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอิตาลี่  มีผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ของพวกเขา คือพระราชาเฮโรด)

       (บรรยายภาพ: ฝูงชนที่โกรธแค้นพากันร้องว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงให้ตายที่กางเขน)

เมื่อพระเยซูอายุได้ 33 ปี ในคืนวันหนึ่งในเทศกาลปลดปล่อยของชาวยิว (เทศกาลปัศกา) หลังจากที่พระเยซูได้ทำพิธีหักขนมปัง และทำพิธีระลึกถึงการปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นทาส   พระเยซูได้พาเหล่าสานุศิษย์ออกไปอธิษฐานที่สวนแห่งหนึ่งชื่อว่า สวนเกตเซมาเน สาวกคนหนึ่งของพระองค์ได้ทรยศต่อพระองค์  ชายคนนี้ชื่อ ยูดาส ผู้ยอมรับสินบนให้ชี้ตัวพระเยซู  ยูดาสพาพวกผู้นำทางศาสนาที่นำกองทหารโรมัน มาจับกุมพระเยซูในสวน  แล้วพวกผู้นำทางศาสนาได้จับพระเยซูไปสอบสวน ทรมาน ทัังคืน จนถึงรุ่งเช้า   ทั้งเฆี่ยนดี  ตบตี และเยาะเย้ย ถากถาง ตลอดคืนจนถึงเช้าโดยไม่ให้มีเวลาพัก 


                    (ภาพ: แสดงเหตุการณ์การถูกตรึงการเขนของพระเยซูคริสต์)

พวกผู้นำศาสนาปลูกพยานเท็จใส่ร้ายพระเยซู  และพยายามปิดคดีให้จบภายในเวลาแค่ครึ่งคืนกับอีกครึ่งวัน  พวกเขาใช้กฎหมู่  ปลุกปั่นยุยงฝูงชนให้เกลียดชังพระองค์  และยุยงให้คนตะโกนขณะพิจารณาคดีให้เจ้าเมืองตัดสินลงโทษพระเยซูให้ตายด้วยการเอาไปตรึงกางเขน

จนในที่สุดเจ้าเมืองได้มอบพระเยซูให้อยู่ในมือฝูงชน  พระเยซูจึงถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยการเอาไปตรึงที่กางเขนอย่างทรมานจนตาย  ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันไปจนถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูก็สิ้นพระชนม์ 

พระศพของพระองค์ยังถูกฝังไว้ในอุโมงค์ของคนอื่น  ขณะที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน  มีคนติดตามดูพระองค์ห่างๆ  พวกเขาได้ยินพระองค์ตรัสดังๆ ก่อนสิ้นใจว่า  "สำเร็จแล้ว" (หมายความว่าการไถ่บาปของมนุษย์สำเร็จแล้ว)


 

พระเยซูคริสต์ทำการประกาศเรื่องการมาของแผ่นดินของพระเจ้าด้วยการทำการอัศจรรย์เมื่อพระองค์มีพระชนม์ชีพได้สามสิบปี  พระองค์เริ่มต้นพระราชกิจการปลดปล่อยด้วยการไปขอรับบัพติสมา (คือการเอาตัวไปจุ่มน้ำเพื่อแสดงตนว่ากลับใจจากบาป) กับชายคนหนึ่งชื่อว่ายอหน์ บัพติสมา  ตอนแรกยอห์นไม่ยินยอมให้บัพติสมาเพราะรู้ว่า พระเยซูคริสต์มีฐานะ และฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่กว่าเขา และเขาเองควรเป็นผู้ได้รับจากพระเยซูมากกว่า   แต่เนื่องจากพระเยซูได้แจ้งแก่เขาว่า เพื่อให้เกิดความชอบธรรมครบถ้วนทุกประการ  ยอห์นจึงให้บัพติสมาแก่พระเยซู

    พระเยซูอธิษฐานขอพระเจ้าให้ขนมปังห้าก้อนปลาสองตัว ให้เลี้ยงคนหลายพันคนได้


ในขณะที่ออกไปประกาศเรื่องการมาของแผ่นดินของพระเจ้า พระเยซูเจ้าได้ทำการอัศจรรย์หลายอย่างเพื่อช่วยเหลือคนให้พ้นทุกข์ คือ รักษาคนตาบอดให้เห็นได้ ขับผีออกจากคน  ปลุกคนตายให้ฟื้น  เลี้ยงอาหารคนสี่พันคน และห้าพันคน ด้วยขนมปังสี่ห้าก้อนและปลาเล็กๆ สองสามตัว  พระองค์รักษาคนป่วยโดยไม่ต้องใช้ยา  พระองค์รักษาคนเป็นง่อยให้กลับมาเดินได้ รักษาคนที่เป็นโรคเรื้อน  คนหลังโกง 
หญิงโลหิตตกสิบสองปี แอบมาข้างหลังด้วยความเชื่อ เธอแตะเสื้อคลุมพระเยซูและหายโรคในทันใด

แม้บางครั้งพระเยซูคริส์ไม่ได้ตั้งใจรักษาโรค   บางคนก็หายป่วยได้เมื่อมีบางคนมาสัมผัสเสื้อผ้าของพระองค์ด้วยความเชื่อ  มีบันทึกในคัมภีร์ตอนหนึ่งว่า   มีหญิงที่ป่วยเป็นโรคโลหิตตกมาประมาณสิบสองปี แอบเบียดเสียดผู้คนที่รายล้อมพระเยซูมาทางด้านหลัง และเมื่อนางได้ยื่นมือสัมผัสชายเสื้อของพระเยซูทางด้านหลัง   นางก็ได้รับการสัมผัสด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและก็หายโรคในบัดดล

บางครั้งมีคนมาขอให้พระเยซูไปรักษาคนใช้ของเขาที่อยู่ที่ห่างไกล พระเยซูไม่สามารถเดินทางไปได้ทันที   พระเยซูก็สามารถใช้วาจาศักดิ์สิทธิ์สั่งให้คนป่วยหายได้จากระยะไกลๆ  นอกจากนี้พระเยซูยังรักษาคนเจ็บคนป่วยโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นชนชาติเดียวกันกับพระองค์ หรือเป็นคนต่างชาติต่างศาสนากับพระองค์  พระเยซูมักจะถูกวิญญาณต่างๆ ที่กำลังสิงคนอยู่ขอร้องว่า  อย่าเพิ่งไล่พวกมันให้ออกจากการสิงสู่คน หรือพูดว่าอย่าทำลายพวกมันเลย เพราะยังไม่ถึงเวลาที่วิญญาณร้ายจะถูกทำลาย 

เนื่องจากพระเยซูมีผู้ติดตามมาก ผู้นำศาสนาหลักดั้งเดิม(ศาสนายูดาย) เกรงว่าผู้คนจะหลงติดตามพระองค์และละทิ้งลัทธิเดิม ซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ลัทธิศาสนาเดิม  พวกเขาจึงส่งคนติดตามคอยจับผิดพระเยซู  พยายามตั้งกระทู้ซักถามเพื่อจับผิดต่างๆ นานา  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเอาผิดจากคำสอนของพระเยซูได้  ในที่สุดพวกเขาจึงกล่าวหาว่าพระองค์แอบอ้างว่าเป็นลูกของพระเจ้า  


พระเยซูออกไปสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ประกาศการมาของแผ่นดินพระเจ้าด้วยการรักษาคนป่วย พิการ  ให้หาย 


เมื่อพระเยซูทำการรักษาคนป่วยให้ป่วย คนตายให้ฟื้น คนตาบอดให้มองเห็นได้ แทนที่ผู้นำทางศาสนาในสมัยนั้นจะดีใจ  กลับสร้างความอิจฉา และความร้อนใจให้พวกเขาเพิ่มขึ้น พวกเขาจึงรวมหัวกันวางแผนกล่าวหาพระเยซูว่า  เป็นผู้ปลุกระดมคนให้ต่อต้านการปกครองของโรมัน (ในสมัยนั้นเขตประเทศอิสราเอลตกเป็นเมืองในการปกครองของจักรวรรดิ์โรมัน) และข้อหาที่คริสเตียนสมัยปัจจุบันชอบเลียนแบบเอามากล่าวหากันลอยๆ ก็คือ เป็นพวกสอนเพี้ยน  ลัทธิเทียมเท็จ  และการหมิ่นศาสนา

พวกกล่าวหาและฟ้องว่าพระเยซูกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้าของพวกยิว  พวกเขาปลูกพยานเท็จและวางแผนจับกุมพระเยซูในตอนกลางคืน  พวกหัวหน้าผู้นำทางศาสนายูดายทำการสอบสวนพระเยซูอย่างรวบรัด  พอรุ่งเช้าพวกเขาก็นำตัวพระเยซูไปให้เจ้าเมืองตัดสินลงโทษด้วยการประหารชีวิต  แต่เจ้าเมืองไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ยังดึงดันให้แลกเปลี่ยนการปล่อยตัวนักโทษร้ายแรงคนอื่นเพื่อเรียกร้องให้เจ้าเมืองตัดสินลงโทษประหารชีวิตพระเยซูด้วยวิธีการเอาไปตอกตรึงติดกางเขนให้ตายทีละน้อยอย่างทรมาน 
                            ภาพแสดงเหตุการณ์พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่กางเขน

เมื่อพระเยซูถูกทรมานด้วยการตรึงที่ไม้กางเขนจนถึงความตาย  พวกศัตรูของพระองค์และพวกบ้าศาสนาต่างคิดว่า ได้ทำลายพระเยซูคริสต์สำเร็จแล้ว แต่พวกเขาคิดผิด  กลับกลายเป็นว่าการที่พวกเขานำพระเยซูไปตรึงที่กางเขน ยิ่งเป็นสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับพระเยซูเพิ่มขึ้นอีก  เพราะการตายของพระเยซูเป็นการตายตามคำทำนายในหนังสือคัมภีร์โบราณเมื่อหลายพันปีมาแล้ว   เป็นการสร้างความสำเร็จแห่งแผนการไถ่บาปที่พระเจ้าวางไว้เพื่อไถ่มนุษย์ออกจากบาป และการปกครองของวิญญาณเจ้าโลก  เพราะภายหลังการตายของพระเยซู พระองค์ถูกนำไปฝังในอุโมงค์ฝังศพ  ในวันที่สามพระเยซูได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย  

เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว  พระเยซูคริสต์ยังได้ไปปรากฎตัวให้สาวกเห็นบ่อยๆ และบางครั้งก็รับประทานร่วมกับพวกสาวกและผู้ติดตามพระองค์ เป็นเวลาถึงสี่สิบวัน   เมื่อพระเยซูถึงกำหนดที่จะจากไปแล้วพระเยซูได้สั่งเสีย  คำสั่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดให้แก่ผู้เชื่อ ผู้ที่ติดตามพระองค์ให้นำไปปฎิบัติ และประกาศเรื่องราวการยกบาปของพระองค์ให้แก่คนทุกชาติ

ท่านผู้อ่านคงอาจไม่คาดคิดว่า เบื้องหลังผู้นำทางศาสนาที่เกลียดชังพระเยซู  พวกที่ช่วยกันจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขนนั้นคือผู้ใด  แท้จริงผู้ที่อยู่เบื้องหลังการสังหารพระเยซูไม่ใช่ผู้นำทางศาสนา ไม่ใช่พระราชา หรือเจ้าเมืองในสมัยนั้น  ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงในการวางแผนปลงพระชนม์พระเยซูคือ วิญญาณร้ายที่เราเรียกมันว่า ซาตานนั่นเอง  ซาตานคิดว่าการตายของพระเยซูคือความสำเร็จของมัน  มันเข้าใจว่าถ้าฆ่าพระเยซูตายแล้ว  มนุษย์ทั้งหลายก็จะไม่มีใครรู้จักพระองค์  และไม่ได้รับความรอด

ในปัจจุบันนี้ถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราจะเข้าใจไปว่า คนไม่สนใจเรื่องวิญญาณ ไม่สนใจเรื่องความบาป หรือการทำบุญ  ไม่สนใจเรื่องนรก สวรรค์  บางคนเข้าใจไปว่า ชีวิตคือการเรียน การศึกษา การทำงาน การแต่งงาน ความก้าวหน้าของชีวิต  การเลื่อนตำแหน่งให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม  การมีหน้าที่การงานที่มีหน้ามีตา  การได้รับการยกย่องในสังคม  การเป็นผู้อำนาจในการสั่งการ  มีอำนาจในการซื้อ เป็นผู้ครอบครองสิ่งของที่ทันสมัย  การเป็นบุคคลที่ทันต่อเหตุการณ์สมัยใหม่ และเป็นผู้ได้รับการยอมรับนับถือ 

สิ่งเหล่านี้หลายคนต้องการ  หลายคนแสวงหามาตลอดชีวิต  แต่ผมขอบอกท่านในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า  มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารทางร่างกาย และจิตใจอย่างเดียวไม่ได้ มนุษย์ต้องได้รับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้าด้วยถึงจะมีความสุขที่แท้จริง  คนไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ถึงจะรวยขนาดไหน ก็ยังไม่ได้พบกับสันติสุขแท้ เพราะสันติสุขแท้ทางวิญญาณมีได้ด้วยการได้รู้จักพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และมีความสัมพันส่วนตัวกับพระเจ้าเท่านั้น

เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการทางด้านจิตวิญญาณของคนเราจึงได้พบว่า  ทุกๆ สถาบันการศึกษาชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นระดับใด  เราพบว่าบรรดาคณาจารย์และเจ้าของมหาวิทยาลัย  ไม่ว่าจะมีฐานะและความรู้สูงส่งสักเพียงใด พวกเขาทั้งหลายต่างพากันกราบไหว้ และเซ่นไหว้วิญญาณกันทั้งนั้น  นั่นคือการตอบโจทย์ที่ว่า  มนุษย์ต้องการพระเจ้า มนุษย์ต้องการรู้จักพระเจ้า มนุษย์ต้องการผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติให้มาคุ้มครอง ช่วยปกป้อง  ให้ช่วยพยุงชีวิต  เพื่อให้เขาก้าวไปเพื่อเติมเต็มสิ่งที่มนุษย์ต้องการ  นั่นคือความต้องการในระดับต่างๆที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง

ท่านผู้อ่านที่รักท่านอาจไม่เคยสนใจว่า มนุษย์เกิดมาจากไหน  แล้วจะไปไหน  แต่ถ้าท่านสังเกตให้ดีท่านอาจพบกว่า  คนที่เขาไปถึงทางตัน เช่น ป่วยด้วยโรคร้าย  ประสบเคราะห์กรรม เคราะห์ร้าย เป็นโรคที่รักษาไม่หาย  เป็นโรคที่แพทย์บอกว่าไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด  เป็นโรคที่รักษาตามอาการ เป็นๆ หายๆ  เมื่อเขาไปหาแพทย์แผนปัจจุบันไม่หาย  เขาจะไปหาหมอดู  เขาไปหาคนทรง ไปหาพระหรือหมอไสยศาสตร์  เมื่อมนุษย์ถึงทางตัน  เพราะในส่วนลึกที่สุดของความเป็นมนุษย์นั้น มนุษย์ต้องการพระเจ้า ต้องการอำนาจที่สูงกว่า ยิ่งใหญ่กว่ามาช่วยพยุงชีวิตของเขา  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะแสวงหาที่พี่งทางวิญญาณเสมอ  

ผมขอเสนอต่อท่านว่า  ถ้าท่านอยากจะพบพระเจ้าที่เที่ยงแท้ พระเจ้าที่รักษาพันธสัญญา เป็นพระเจ้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักพระเจ้าที่สามารถยกบาปได้  พระเจ้าที่รักษาโรคร้ายได้  พระเจ้าที่กล้าประกาศและให้สัญญาว่า ใครเชื่อในพระองค์แล้วจะไม่ต้องถูกการพิพากษา  ไม่ต้องรับโทษจากบาปของตนเมื่อตายไป  พระเจ้าที่บอกว่า "ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ละทิ้งเขาเลย" 

พระเจ้าที่มีอำนาจเหนือวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังรูปเคารพ  พระเจ้าที่ทำให้ผู้เชื่อในพระองค์สามารถขับวิญญาณอื่นๆ ได้ทุกชนิด เอาของออกได้ และอธิษฐานวางมือคนป่วยหายโรคได้อย่างอัศจรรย์  ขอท่านลองเปิดใจมาแสวงหาพระเยซูคริสต์เถอะครับ ผมเชื่อว่าท่านจะได้พบกับสันติสุขแท้อย่างแน่นอน

พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า  

“ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ  ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”

พระเยซูสัญญากับผู้เชื่อในพระองค์ว่า พระองค์จะสถิตอยู่กับผู้เชื่อของพระองค์

[พระธรรมมัทธิว บทที่ 28 ข้อ 18-20 ]

และในพระธรรมอีกตอนหนึ่งได้บันทึกคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ว่าดังนี้

ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า  

“เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ

มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ 

เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”

ครั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ให้ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขา โดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น

พระเยซูให้คำมั่นสัญญาว่า ใครผู้เชื่อแท้จะอธิษฐานวางมือคนป่วยให้หายได้

[พระธรรมมาระโก บทที่ 16 ข้อ 15-20]

การที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนนั้นแท้จริงเป็นแผนการของพระเจ้าสำหรับ ช่วยคนบาปที่ช่วยตัวเองไม่ได้  หลายศาสนาสอนให้คนต้องทำบุญมากๆ เพื่อจะได้ไปสวรรค์  แต่ผู้เชื่อพระเยซูไม่สามารถไปสวรรค์ด้วยการทำบุญ ไม่สามารถทำดีเพื่อไปสวรรค์ได้ เพราะแท้จริงมนุษย์ไม่มีวันทำดีีอย่างสมบูรณ์ได้อยู่แล้ว เพราะมนุษย์ทุกคนมีนิสัยบาป เป็นทาสบาปติดตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุธ  หลายชั่วโคตร ทำบาปซ้อนบาป

ท่านลองคิดดูซิว่า  มนุษย์ต้องทำบุญเป็นปริมาณเท่าไรจึงจะได้ไปสวรรค์  คนจนๆ ไม่มีเงินทำบุญจะไปสวรรค์ได้อย่างไร  ถ้าไม่สามารถทำบุญได้  ใครเป็นผู้ออกกฎระเบียบว่าการไปสวรรค์ต้องไปด้วยการทำบุญ และเจ้าของสวรรค์คือใครกันแน่  มีใครทราบแน่ชัดหรือไม่  พระคัมภีร์เล่มไหนที่บอกเป็นคำสัญญาชัดเจนว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้   หากท่านลองไตร่ตรองไคร่ครวญสักนิด จะสังหรณ์ใจได้ว่า การไปสวรรค์นั้นซื้อได้ด้วยเงินหรือ  ด้วยการทำดีหรือ มีใครบ้างที่ทำดีไม่มีข้อผิดพลาดเลย

  แต่ผู้เชื่อพระเยซูไม่จำเป็นต้องไปพยายามมองหาพระเจ้าจากที่ไหนอีกแล้วเพราะ พระเยซูคริสต์คือพระเจ้าที่ดีที่สุด เป็นพระเจ้าองค์แท้จริงแล้ว  พระสัญญาของพระองค์เป็นความจริง คำจารึกในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมีระบบชัดเจนสามารถสืบค้น และอ้างอิงได้ชัดเจน เพราะมีชื่อบท ชื่อหนังสือย่อย มีข้ออ้างอิงเป็นระบบชัดเจน  ไม่ใช่คำกล่าวอ้างลอยๆ พรือเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ๆ ที่คนต้องการสร้างขาย เขียนตำนานขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้าของพวกเขา  หรือเป็นพระตามคำเล่าลืออย่างที่หลายๆ ลัทธิความเชื่อนำต่างๆ มากล่าวจากหนังสือที่เขียนขึ้นใหม่   ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสิ่งที่เป็นพระสัญญาของพระ เจ้าแต่อย่างใด  

ตรงกันข้ามลัทธิความเชื่อต่างๆ พยายามสร้างพระใหม่ๆ เอามาขาย  เอามาแจกให้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าหลงรับเอาไปบูชาเพิ่มขึ้นทุกที  บางคนสะสมพระไว้มากจนไม่มีที่จะเก็บ  แต่ก็ยังไม่เพียงพอสักที  ไม่รู้สึกอิ่มใจเลย  จึงต้องพยายามหามาเรื่อยๆ  จึงตกไปเป็นเหยื่อของพวกศาสนาพานิช

พระเยซูประกาศอย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งถูกสร้างโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ คนที่เชื่อพระเยซูจะได้รับชีวิตแห่งสันติสุขตั้งแต่อยู่โลกนี้เลยทีเดียว ไม่ต้องรอให้ตายก่อน หลายคนหายป่วย หายใข้  หายจากโรคร้ายที่แพทย์รักษาไม่ได้เพราะเปิดใจเชื่อพระเยซูคริสต์ นี่แหละครับ



พระธรรมโคโลสี บทที่ 1 บทที่ 16-17 กล่าวว่า

"เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ   สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์

พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์
"

การมีพระเยซูเพียงพระองค์ก็เพียงพอแล้วสำหรับการได้รับชีวิตแห่งสันติสุข และจิตวิญญาณของเราจะได้รอดพ้นบาปถือว่าสมบูรณ์แล้ว นั่นคือสาเหตุว่าทำไมคนเชื่อพระเยซูจึงไม่ต้องพกรูปเคารพ ไม่ต้องอาศัยเครื่องรางของขลังมาเป็นตัวช่วยให้แคล้วคราดจากเคราะห์กรรมและ เหตุเภทภัยทั้งหลาย  ไม่ต้องสะสมบุญ  ไม่ต้องสร้างวัตถุเพื่อเอาใจพระเจ้าเพื่อให้เมตตาปล่อยตัวเข้าไปสู่สวรรค์ สถาน   ผู้เชื่อแท้ของพระเยซูมีชัยชนะเหนืออำนาจมืด อำนาจวิญญาณผีร้าย วิญญาณอื่น  โดยฤทธิ์อำนาจที่พระเยซูมอบให้แก่ผู้เชื่อทุกคน 

เพราะพระเยซู เป็นพระเจ้าเพียงผู้เดียวที่ยิ่งใหญ่กว่า วิญญาณอื่นที่อ้างตัวว่าเป็นพระ  หรือเป็นเทพ  สิ่งเหล่านี้แท้จริงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หรือ  หรือว่าเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น  แต่พระเยซูประกาศตัวว่าพระองค์เป็นอันเดียวกันกับพระเจ้า เป็นผู้ที่สามารถตอบคำอธิษฐานได้


ผมได้รับทราบมาว่ามีคนไม่น้อยที่ต้องทำการเซ่นสังเวยด้วยวิญญาณบรรพบุรุธเป็นประจำโดยเฉพาะชนเผ่าต่างๆ  หากไม่ทำตามกำหนดเวลา พวกเขาก็จะถูกเบียดเบียน  บ้างต้องเจ็บป่วยหาสาเหตุไม่ได้ แม้จะรักษาทางการแพทย์  ทางยาก็ไม่หาย  ต้องทำการแก้บนปีละไม่รู้กี่ครั้งเพื่อทำให้วิญญาณคุ้นเคยพอใจ

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น พวกเขาบอกว่าเพราะผีปู่ย่ามารบกวน  ท่านผู้อ่านลองตรึกตรองดู หากวิญญาณปู่ย่าที่เรากราบไหว้เป็นตัวจริง  ท่านจะเบียดเบียนลูกๆ หลานๆ หรือ ท่านต้องเป็นผู้ให้เราไม่ใช่หรือ เมื่อปู่ย่ามีชีวิตอยู่ ลูกหลานอยากกินอะไรท่านจะยอมเสียสละให้  เพราะท่านรักเราไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเมื่อท่่านตายไปท่านจึงมารบกวนเรา  เบียดเบียนลูกหลายด้วยการทำให้เราเจ็บป่วย  เนื่องจากเราไม่เลี้ยงดูท่านหรือ 

หากท่านต้องการพบพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ที่คอยปกปักรักษาและคุ้มครองเราจริง มาหาพระเยซูคริสต์ดีกว่า

ท่านผู้มีปัญญา ผู้มีวิจารณญานทั้งหลาย  หากท่านลองไตร่ตรองถ้วนถี่ดีแล้วท่านก็จะทราบได้ว่า พระเจ้ามีจริงไหม หากพระเจ้ามีจริง  ถ้ามีวิญญาณเจ้าตามสถานที่ต่างๆ มีอยู่ก็น่าจะมีพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าวิญญาณต่างๆ ที่ปกครองอยู่ทั่วไปอย่างแน่แท้  เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นทั้งโลกและสวรรค์คงยุ่งแน่ เพราะเจ้าแต่ละองค์ไม่มีใครฟังใคร ไม่มีกฎหมาย  ไม่มีกฎเกณฑ์ เจ้าแต่ละองค์ต่างสร้างกฎหมายของตนเองปกครองควบคุมโลกก็จะตั้งอยู่ไม่ได้

มีคำกล่าวว่า "ผู้สร้างย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่ถูกสร้าง"  มนุษย์จะสร้างพระเจ้าได้หรือ  เราจะต้องเลี้ยงดูพระของเราตลอดไปหรือ  ถ้าพระเจ้ามีจริงพระองค์จะต้องการอะไรจากเราหรือ พระเจ้าต้องเป็นผู้ให้เรา เป็นผู้สร้างเราไม่ใช่หรือ  หากท่านอยากหลุดพ้นจากอำนาจลี้ลับและการเบียดเบียนขอส่วนบุญของวิญญาณต่างๆ ผมขอเสนอให้ท่านลองมาแสวงหาพระเยซูเจ้าเถอะครับ

สิ่งที่แตกต่างและเป็นเรื่องที่คนอาจคิดไม่ถึง ไม่เคยรับรู้ก็คือ พระเยซูเจ้าไม่ได้หลงเหลือซากสังขารให้ผู้เชื่อเอาไว้บูชากราบไหว้  หรือเอาไว้ดูต่างหน้า  เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว แต่เป็นขึ้นมาใหม่  และยังคงอยู่กับผู้เชื่อพระองค์ตลอดไป  โดยฤทธิเดชแห่งการสถิตทั่ว พระเยซูสามารถรับฟังคำร้องขอของผู้เชื่อได้ทุกแห่งทุกที ทุกเวลา เวลาและสถานที่ไม่สามารถจำกัดพระเยซูคริสต์ได้ นั่นคือสิ่งที่น่าดีใจมากๆ สำหรับผู้เชื่อในพระเยซูมิใช่หรือ ที่พระองค์นี้สามารถช่วยผู้เชื่อในพระองค์ได้อย่างแท้จริง 

แล้วเราจะรับพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร  เราสามารถรับพระเยซูคริสต์ได้โดยการเปิดใจของเราออก และกล่าวคำต้อนรับพระองค์ด้วยคำอธิษฐานง่ายๆ ว่า ลูกขอต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของลูกตลอดไป (ในท้ายบทความ มีตัวอย่างคำอธิษฐานต้อนรับพระเยซูเจ้า)

พระเยซูคริสต์ได้กล่าว่า

"เราเป็นทางนั้น เป็นทางแห่งความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระเจ้าเที่ยงแท้ได้ยกเว้นมาทางพระองค์เท่านั้น"

พระเยซูคริสต์กล่าวอีกว่า

"ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ละทิ้งเขาเลย"

"บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย   หายเหนื่อยเป็นสุข"

“เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”



พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวว่า

" เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์"

[พระธรรมยอห์น บทที่ 3 ข้อ16  ]

ในพระธรรมเล่มเดียวกันได้กล่าวอีกว่า

"ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า"

หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่างเพราะกิจการของเขาเลวทราม
เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ"

"ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต   แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา"

[ พระธรรมยอห์น บทที่ 3 ข้อ 36 ]

แล้วเราจะได้รับความรอดและรู้จักพระเยซูคริสต์เจ้าได้อย่างไร

พระคริสต์ธรรมอีกตอนหนึ่งได้กล่าวไว้เพื่อให้เราทราบแนวทางดังนี้

คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่าพระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ท่านจะรอด

ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด

เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า "ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย"
เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้น ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่า(มี) องค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว   พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์   เพราะว่า  " ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด"

แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้

และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศ(เรื่องความรอดพ้นบาป) อย่างไรได้  ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำข่าวดีมา ช่างงามจริงๆ"

[พระธรรมโรม บทที่ 10 ข้อ 10-15 ] 

ขอพระเยซูเจ้าอวยพระพรผู้ที่อ่านบทความนี้ ขอให้ท่านได้รอดพ้นบาปทุกคน

อาเมน

หากท่านมีความประสงค์อยากต้อนรับพระเยซู แต่ไม่รู้จะอธิษฐานอย่างไร  ขอให้อธิษฐานง่ายๆ ตามแบบนี้ คือ



คำอธิษฐาน ต้อนรับพระเยซูคริสต์

พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่  ข้าฯ ขอมาหาพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์
ข้าฯ ได้ตระหนักว่า ข้าไม่สามารถไปรอดพ้นบาป และการพิพากษาโทษด้วยการเป็นคนดี  ด้วยการทำการกุศลให้เพียงพอต่อการได้รับอนุญาตให้ไปอยู่ในสวรรค์  ข้าฯ ขอยอมรับว่าข้าเป็นคนบาป ชอบทำบาป  ข้าอยากเลิกบาปแต่ทำไม่ได้ 
ข้าฯ ขอสารภาพบาปต่อไปนี้ คือ .....................
ข้าฯ ขอยกโทษต่อคนที่ทำผิด/ละเมิดต่อข้าทุกคน คือ ............................
ข้าไม่ถือโทษ และขอปลดปล่อยภาระการแก้แค้นให้อยู่ในมือของพระเยซูเจ้า

ขอพระเยซูคริสต์เจ้าช่วยลบล้างความผิดบาปของข้า และคำแช่งสาปที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุธในส่วนโทษและการบาปที่ตกมาถึงข้าฯ   ขอพระองค์ปลดปล่อยข้าฯ ออกจากการเป็นทาสบาป และพฤติกรรมไม่ดี คือ.........
ต่อไปนี้ข้าฯ ขอละเลิกจากการบาปทุกอย่าง   และขอตั้งต้นเป็นคนใหม่ 

ข้าฯ ขอเปิดใจยอมรับพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของข้าฯ ด้วยสัจจะวาจานี้  ขอพระเยซูเจ้าโปรดยกโทษที่ข้าฯ เคยกราบไว้สิ่งอื่น ถือเป็นพระเจ้า และได้ทำสารพันบาปชั่ว  ข้าฯ ขอพระเยซูเจ้าปลดปล่อยข้าฯ ออกจากการครอบงำ การแทรกแซงของวิญญาณอื่นทุกชนิด  ข้าฯ ขอกล่าวตัดสัมพันธ์กับวิญญาณอื่น วิญญาณแห่งโลก วิญญาณไสยศาสตร์ เวทมนต์  วิญญาณคุ้นเคย  วิญญาณประจำถิ่น  วิญญาณลัทธิ  และขอกล่าวห้ามไม่ให้วิญญาณใดๆ  เข้ามารบกวน หรือแทรกแซงในวิถีชีวิต สุขภาพ  การงาน  ความคิด  การตัดสินใจ และวิญญาณจิตของข้า

ข้าขอกล่าวห้าม และสั่งการในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า  วิญญาณแห่งความมืด วิญญาณแห่งโลกวิญญาณคุ้นเคยทุกอย่าง   จงถอยไปจากเราและห้ามกลับมาอีก ในพระนามพระเยซู

ข้าฯ ขอต้อนรับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์เจ้า ขอเชิญเข้ามาปกปักรักษา และช่วยเหลือข้าฯ ตามพระสัญญาในหนังสือพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์  ต่อแต่นี้ไปข้าฯ ขอเป็นลูกของพระเยซูเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ขออธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน



.....................................................................................



[][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][][]

Rice Mu. Original Writing, July 2011

(Bibliography)

Prophecy of Jesus: http://www.godonthe.net/evidence/messiah.htm
Who is Jesus: http://www.allaboutjesuschrist.org/who-is-jesus-christ.htm
The Messiah's prophecy: http://www.godonthe.net/evidence/messiah.htm
Messianic Prophecies Fulfilled by Jesus Christ: http://www.jesus-is-lord.com/messiah.htm
Life and Works of Jesus Christ: http://mb-soft.com/believe/txh/gospgosp.htm
The Fullfiled Prophecies of Messiah: http://www.godandscience.org/apologetics/prophchr.html

Second Editon: July 29, 2013
Original Message from Rice Mu: Copy Right reserved:

สงวนลิทขสิทธิ  ห้ามเอาไปเผยแพร่เพื่อการพานิช  หรือการแสวงหาผลประโยชน์ใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียน  แต่ไม่ห้ามเผยแพร่ในกรณีเพื่อการกุศล ไม่หวังผลประโยชน์

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12/13/2554

    God love you

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ1/02/2555

    ขอบคุณอาจารย์สำหรับบทความดีดีครับ ผมจะไม่เก็บไว้อ่านคนเดียว จะขอแบ่งปันนะครับ
    เด

    ตอบลบ
  3. Thank you .GOD bless you

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)