ปลููกสร้างคริสตจักรแบบไหนดี(1) Church planting, OK or Not OKay?

ลงทุนตั้งคริสตจักรทั่วไทยทำได้อย่างไร

การประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์โดยมิชชันนารี ด้วยวิธีการต่างๆ ในประเทศทไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ใช้เวลาเนิ่นนานมากกว่าจะนำคนบาปให้มาอยู่ในวิถีแห่งความหลุดพ้นบาป วัฒนธรรมบาป และอำนาจของวิญญาณร้ายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถจะทำได้

มีคำกล่าวเสมอว่าๆ “คริสตจักรคือคำตอบ”  ตั้งแต่มิชชังคณะแรกเหยียบย่างเข้ามาในแผ่นดินสยาม ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในยุคอยุธยาจนถึงบัดนี้  เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าสี่ร้อยห้าสิบปีสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ไถ่บาปในประเทศไทย คนไทยร้อยละ เก้าสิบเก้ายังไม่นับถือพระคริสต์  ที่ถืออยู่ก็ไม่เข้มแข็ง  บ้างถือเพียงเปลือกนอกของศาสนาแต่ไม่ได้นับถือพระเจ้า  เพราะไม่เข้าใจ  ไม่ได้รับคำสอนที่ลึกซึ้ง  ได้รับคำสอนเพียงบางส่วน หลายคนจึงไม่เคยมีประสบการณ์กับพระเจ้า



สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เชื่อพระคริสต์อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่เชื่อเอง หรือว่า ไม่มีใครไปประกาศให้เขาฟัง  บ้างได้ยินแต่ไม่เชื่อ คิดว่าเรื่องพระคริสต์เป็นเพียงคำสอนของศาสนาหนึ่งเท่านั้น บ้างเชื่อพระเจ้าเต็มเหนี่ยวแล้วละเลิก วิญญาณวัฒนธรรมแห่งการนับถือผีบรรพบุรุธไม่ได้  หรือเพราะว่าวิธีการประกาศพระคริสต์ของคริสตชนด้อยประสิทธิภาพ ไม่มีใครไปประกาศพระคริสต์กับพวกเขาอย่างจริงจัง

เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คริสตชนจะกล่าวว่าคริสตจักรคือคำตอบได้อย่างไร  ในเมื่อคริสตจักรกลายเป็นระบบศาสนาที่ต้องพึ่งอาศัยระบบอันซับซ้อนของนักการศาสนา ศาสนาต้องการมืออาชีพที่ไม่มีอาชีพมาทำการ การประกาศข่าวประเสริฐต้องอาศัยทุน  ต้องอาศัยเงิน ต้องอาศัยบุคลลากรและการลงทุนอย่างมหาศาล  กว่าจะนำใครสักคนให้เปิดใจ  ยอมรับพระเจ้าเข้ามาในชีวิต  ยอมเปลี่ยนมาถือศาสนาคริสต์ 

เมื่อคริสตจักรส่วนใหญ่ถือว่า แนวคิดการประกาศข่าวประเสริฐวิธีการหลัก วิธีสำคัญ คือการปลูกคริสตจักรแบบอาคารที่่ต้องลงทุนสูงมากแต่ทำไม่ได้ผลเท่าที่น่าจะเป็น ดังนั้นจึงมีคำถามว่า   คริสตจักรคือคำตอบจริงหรือ  ยังมีวิธีอื่นที่ดีกว่าการปลูกสร้างคริสตจักรแบบอาคารอีกไหม 

ในความเป็นจริง  เมื่อครั้งเริ่มแรกนั้น คริสตจักรไม่ได้อยู่ในอาคารถาวรแบบในปัจจุบัน  คริสตจักรเริ่มต้นในบ้าน  ในห้องอธิษฐาน  เมื่อพระคริสต์ถือพิธีปัศกา  ในคืนสุดท้ายก่อนที่พระองค์ จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์ทรงถือปัศกากับสาวกภายในห้อง  ในบ้านหลังหนึ่ง (มท ๒๖ ข้อ ๑๘) พระคริสต์ได้สั่งเสียให้ทำพิธีนี้เพื่อระลึกถึงพระองค์ในระหว่างการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย  นี่คือรูปแบบการสามัคคีธรรมของคริสตจักรเริ่มแรกเลยก็ว่าได้  ต่อมาเมื่อพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันเพนเทคอส  พวกเขาก็ไม่ได้ไปสามัคคีธรรมกันในพระวิหารแต่อย่างใด  แต่เป็นห้องที่อยู่ในบ้านคนทั่วไป

 ภายหลังวันเพนเทคอสเมื่อสาวกของพระคริสต์ได้รับฤทธิ์เดชของพระเจ้า   เวลาไม่นานต่อมาเมื่อมีคนเชื่อเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็เกิดการข่มเหง  ทำให้ผู้เชื่อพระคริสต์ต้องแตกกระจายไป  ตามที่ต่างๆ  พวกเขานมัสการพระเจ้าตามบ้านของผู้เชือ  ไม่มีการสร้างอาคารวิหารโบสถ์เพื่อมอบอุทิศถวายแด่พระเจ้า   แต่ใช้บ้านหรือสถานที่ส่วนบุคคลเพื่อใช้เป็นที่นมัสการพระองค์อย่างที่คริสตจักรอาคารทำอยู่เหมือนทุกวันนี้

เมื่อคริสจักรง่ายๆ ที่ประชุมกันตามบ้านผู้เชื่อ   กลายเป็นคริสตจักรที่มีระบบศาสนาที่มีข้อระเบียบซับซ้อนเป็นตัวกำหนด  คริสตจักรกลายเป็นระบบศาสนาที่มีการปกครอง  มีผลประโยชน์เข้ามา  มีตำแหน่งทางศาสนาเข้ามา   คริสตจักรตามบ้านผู้เชื่อถูกห้าม  แต่ย้ายการนมัสการมาอยู่ในอาคารที่เป็นระบบศาสนา  คริสตจักรจึงต้องมีอาคารที่สูงใหญ่สง่า ตามแบบที่เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อๆ กันมาเป็นเวลากว่าสองพันปีแล้ว

ในประเทศต่างๆ ที่มีการควบคุมด้วยระบบศาสนา  ตัวอย่างเช่น ประเทศลาว หรือจีน   ซาตานได้ใช้ระบบศาสนาให้การควบคุมผู้เชื่อพระคริสต์อย่างเห็นได้ชัดคือ  การกำหนดให้ผู้เชื่อพระคริสต์ต้องนมัสการกันในอาคารโบสถ์ที่ ทางการรับรองเท่านั้น  ผู้เชื่อที่เชื่อพระเจ้าไร้สังกัดหากมีการนมัสการพระเจ้า มีกลุ่มสามัคคีธรรมตามบ้านจะถูกห้ามไม่ให้มีการนมัสการพระเจ้าได้  หากไม่มีอาคารโบสถ์ที่ทางการอนุญาต

การสร้างอาคารโบสถ์ก็ทำได้ยากมาก  การจะสร้างโบสถ์ต้องขออนุญาตจากทางการ ยังไม่พอ  ต้องได้รับใบอนุญาตจากหัวหน้าศาสนาที่ทางการรับรองด้วย  หากไม่กระทำจะถูกจับดำเนินคดีตามกฎหมาย  ดังนั้นอาจอนุมานได้ว่า  ระบบศาสนาแบบที่ต้องมีอาคารถาวรนั้น ในบางประเทศกลายเป็นเครื่องในการหาผลประโยชน์ของผู้นำทางในศาสนา   และเป็นเครื่องมือของรัฐในการควบคุม ป้องกันไม่ให้คนมาถึงพระเจ้าได้ง่ายๆ

ค่านิยมการสร้างโบสถ์แบบอาคารสูงใหญ่  คงได้รับอิทธิพลด้านความคิดทางศาสนา   ที่มีแนวคิดแบบโบราณ  ถือเป็นการสร้างพระวิหารเพื่อถวายแก่พระเจ้าตามแบบคริสตจักรยุคโซโลมอล   ต่อมากลายเป็นระบบของศาสนจักรโรมันที่กลายเป็นศาสนาสำคัญอันดับหนึ่งของโลก  แนวคิดการสร้างคริสตจักรแบบอาคารถาวรนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบคริสตจักรง่ายๆ ตามบ้าน  ต้นทุนต่ำ มาเป็นคริสตจักรอยู่กับที่  จากคริสตจักรที่เคลื่อนไปตามผู้เชื่อ กลายมาเป็นผู้เชื่อต้องเคลื่อนไปหาอาคารโบสถ์  ต้องมีผู้นำศาสนาทำงานเต็มเวลาคอยทำพิธีอะไรต่างๆ ให้  ผู้เชื่อต้องไปหาโบสถ์ทุกครั้ง ไม่สามารถจะนมัสการพระเจ้าได้ถ้าหากไม่ได้ไปโบสถ์  บางบ้านแม้จะมีคนเป็นสิบ  บางบริษัทมีคนเป็นสามสี่สิบก็ต้องไปหาโบสถ์   พวกเขาอาจไม่เคยคิดเลยว่า  พวกเขาก็สามารถรวมตัวกันนมัสการเป็นคริสตจักรได้


เมื่อผู้นำความเชื่อถูกปลูกฝัง  ถ่ายทอดวัฒนธรรม  แนวคิด กล่อมเกลาเอาแนวคิดคริสตจักรอาคารมาทำโบสถ์แบบโรมัน ด้วยการประยุกต์เอาต้นแบบโบสถ์ที่เป็นพระวิหารโซโลมอล    เอาแบบพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มมาเป็นโมเดลในการสร้างคริสตจักร   คริสตจักรที่ประกอบด้วยผู้เชื่อมาประชุมกันจึงกลายเป็นคริสจักรที่ตั้งอยู่ในตัวอาคาร เคลื่อนไปไหนไม่ได้ 

ผู้เชื่อที่เชื่อพระกิตติคุณที่ ออกจากศาสนาเดิม  หรือที่เพิ่งหลุดพ้นจากพันธะทางศาสนาผี  ต้องถูกผูกมัดแปลสภาพ ได้สถานภาพใหม่ให้เป็นศาสนิกของศาสนาใหม่  จากพุทธบริษัท มาเป็นผู้นับถือศาสนาคริสต์  ในที่สุดกลายมาเป็นสมาชิกสมบูรณ์ของคริสจักร  และสิ้นสุดชีวิตความเชื่อด้วยคำว่า “สมาชิกสมบูรณ์ของคริสตจักร”

สาวกพระคริสต์จึงถูกตัดต่อพันธุกรรม ให้กลายเป็นแกะอ่อน จากผู้เชื่อที่เป็นพี่น้อง ถูกดัดแปลงทำให้กลายเป็นสมาชิกสมบูรณ์  สมาชิกสำรอง  และผู้สังเกตการณ์  ผู้เชื่อที่เปลี่ยนศาสนาจากการถือผี    ถือรูปเคารพ  ถูกสอนและถูกสร้างให้รับค่านิยม  ความเชื่อใหม่ให้เป็นสมาชิกคริสตจักร  เพื่อให้รับวัฒนธรรมแบบใหม่ รูปแบบการดำเนินชีวิตแบบใหม่  คือการเป็นผู้เชื่อศรัทธาในศาสนา หรือเป็นสมาชิกนั่นเอง

ในฐานะผู้ถือศาสนาที่เปลี่ยนใจมาหาพระคริสต์  เขาได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจากการทำบุญในศาสนาพุทธเพื่อสะสมบุญ  เพื่อจะได้เกิดใหม่ในโลกหน้าในฐานะมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม  มาเป็นการถวายสิบลด ถวายพิเศษนานา เพื่อจะรับพรแบบฟ้าถล่ม  เพื่ออุปภัมป์ศาสนา  เพื่อสนับสนุนงานของโบสถ์ และเลี้ยงดู “ผู้เลี้ยงแกะ” ให้อยู่รอดปลอดภัย   เพื่อสร้างองค์กรทางศาสนาที่ผู้นำก่อตั้งขึ้นให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม


เป้าประสงค์ที่แท้จริงของพระคริสต์ตามพระมหาบัญชาคือคำสั่งการให้สาวกออกไปสั่งสอนและปลูกฝังให้ผู้เชื่อถือปฏิบัติตามคำสอนของพระคริสต์  สร้างคนให้เติบโตกลายเป็นสาวก  ให้รับฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณแล้วออกไปประกาศเรื่องความรอดบาปด้วยความเชื่อต่อไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก 

จากแนวคิดในอุดมคติที่สูงส่ง คือการสร้างให้เป็นสาวกพระคริสต์  เพื่อออกไปปลดปล่อยช่วยคนบาปให้เห็นแสงสว่างแห่งพระคริสต์  ให้มีสิทธิอำนาจทางวิญญาณเป็นสาวกพระคริสต์  ผู้มีสิทธิอำนาจให้วางมือคนป่วยให้หาย  ให้ขับผี  ให้ทำการอัศจรรย์ดึงดูดคนบาปให้มาหาพระเจ้า  กลายเป็นสมาชิกของคริสตจักรที่ต้องรับการสั่งสอน ปลูกค่านิยม สร้างให้ผู้เชื่อให้เป็นสมาชิกถาวรเพื่อจะอยู่กับคริสตจักรตลอดไป

เมื่อความเชื่อกลายเป็นภาระ ความร่าเริงยินดีในความรอดกลายเป็นการการปฏิบัติศาสนกิจที่เน้นการทำดี  การเข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจคือการไปโบสถ์ทุกอาทิตย์เพื่อรับคำสอนหลักข้อเชื่อ  ให้มีความรู้ทางศาสนาเยอะๆ  เพื่อได้รับความโปรดปรานจากผู้นำ  เมื่อเวลาผ่านไปนานพอควร  หลายปีผ่านไปจากสมาชิกธรรมดากลายเป็นผู้ร่วมทำงานในโบสถ์  เพื่อรับตำแหน่งเล็กๆ น้อยในคริสตจักร  ตำแหน่งสมาชิกจึงกลายเป็นบ่วง  กลายเป็นภาระที่ต้องสนับสนุนโบสถ์ กลายเป็นความเครียดสะสมต่อเนื่อง

แทนที่ผู้เชื่อจะถูกเลี้ยงดูให้เติบโตเป็นสาวก กลับกลายเป็นว่า ผู้เชื่อถูกระบบกล่อมเกลาและส่งเสริมให้เป็น "สมาชิกที่ดี" กลายเป็นสมาชิกผู้มีคุณประโยชน์  มีคุณค่าต่อองค์กร   สมาชิกผู้มีหน้ามีตา  มีตำแหน่งต้องมีหน้าที่ต้องเลี้่ยงดูผู้นำความเชื่อที่อยู่ประจำในศาสนสถาน   และมีหน้าที่ต้องช่วยกันพยุงโบสถ์อาคารให้มีชีวิตอยู่ได้ เป็นเดือนๆ เป็นปีๆ และหมุนวนไปเรื่อยๆ  ผู้เชื่อคิดว่า นี่คือการรับใช้พระเจ้าที่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อมีสมาชิกเกิดลูกเกิดหลาน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอาณาจักรก็เริ่มขยาย  จากการมีอาคารเพียงหลังเดียว ก็สร้างอาคารประกอบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  มีการก่อสร้างอาคารต่างๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  มีโครงการแปลกๆ เข้ามาเรื่อยๆ  ทำให้ผู้เชื่อลืมเป้าหมายการเป็นคริสเตียนเสียแล้ว   จากการคิดเรื่องเป้าหมายปฏิบัติตามพระมหาบัญชาให้สำเร็จ คือทำอย่างไรจะสร้างคนให้เป็นสาวกและส่งออกไปประกาศมากขึ้นๆ   กลับกลายเป็นการตั้งจุดประสงค์เพื่อการสร้างขยายองค์กรเพื่อความยิ่งใหญ่  เพื่อก่อนสร้างอาคาร  เพื่อตำแหน่ง  เพื่อหน้าตาของผู้นำ และสมาชิก  จนบางคนลืมคิดไปว่า    คริสตจักรที่แท้จริงไม่ใช่ตัวอาคาร ไม่ใช่สิ่งที่ปลูกสร้างถาวรที่ต้องตั้งอยู่กะที่ ย้ายไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

โบสถ์แบบอาคารบางแห่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก  ทั้งค่าตอบแทนอาจารย์  ค่าสาธารณูปโภค   จนหาทางแก้ปัญหาเรื่องเงินลำบาก   เมื่อสปอนเซอร์จากต่างชาติเริ่มตัดงบประมาณอุดหนุนเมื่อระยะเวลาผ่านไปสามปี หรือตามกำหนดเวลาอุดหนุน  ผู้นำความเชื่อเริ่มรู้สึกหวั่นเกรงความไม่แน่นอนทางการเงิน  คิดถึงความมั่นคงปลอดภัยทางการครองชีพ   ผู้นำคริสตจักรอาคารจึงต้องเร่งหาสมาชิกให้มากๆ เพื่อจะได้มีรายได้เพียงพอคัพเวอร์กับรายจ่ายที่สูงขึ้น   ทั้งเรื่องที่ดินที่ปลูกสร้างอาคารโบสถ์ที่ต้องผ่อน   หรือเป็นอาคารที่ต้องเช่า  อีกทั้งค่าสาธารณูปโภค   ค่าเลียงดูผู้นำความเชื่อ  หรือที่เขาเรียกกันว่า “ผู้เลี้ยงแกะ” 

ด้วยเหตุผลจำเป็นนานา เรื่องค่าใช้จ่าย  ค่าซื้อของ ค่าตอบแทนอาจารย์ จึงทำให้คริสตจักรอาคารเริ่มติดหล่มในระบบ   เพราะการปลูกสร้างคริสตจักรที่เริ่มต้นจากการเลือกที่จะสร้างคริสตจักรให้ยิ่งใหญ่ที่ต้องมีครบทุกอย่าง  เพื่อให้มีหน้ามีตา  ตามแบบโบสถ์โรมันวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม  

ผู้นำเริ่มคิดว่า ไหนไหน ก็ไหน  คงหาทางแก้วิธีอื่นลำบากแล้ว เพราะสปอนเซอร์ก็ตัดความช่วยเหลือ  สมาชิกก็อ่อนแอ  การถวายทรัพย์ก็ไม่พอเพียง  คริสตจักรอาคารจึงเลือกที่จะผูกมัดคนไว้เพื่อเป็นแห่ลงทุน  ดังนั้นผู้เชื่อจึงถูกปลูกฝังความคิด ความเชื่อ  ค่านิยมให้เป็นสมาชิกถาวร  ให้รักและศรัทธาต่อคริสตจักรและผู้นำคนเดียว ด้วยการมอบหมายหน้าที่เล็กๆ น้อยให้ทำ  ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว  เพื่อชักจูงให้สมาชิกอยู่ร่วมกันต่อไปนานที่สุด  เพื่อช่วยกันรับภาระ  ช่วยกันแบก  ช่วยกันหาม  ผู้นำทางศาสนาและช่วยพยุงโบสถ์อาคารไว้ให้อยู่รอด เพราะค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มขึ้น  

คริสตจักรอาคารจึงไม่สามารถสร้างใครให้เป็นสาวกได้ง่ายๆ  เพราะผู้เชื่อที่เติบโตแล้วเขาจะกลายเป็นสาวก เมื่อเขาเป็นสาวก เขาจะมีเข้มแข็งทางวิญญาณ มีความเติบโตทางความเชื่อ   มีปีกกล้าขาแข็ง  เมื่อเขารู้ว่าเขาคือใครในพระคริสต์  ได้รับรู้เป้าประสงค์ของชีวิตคริสเตียนที่แท้จริง  เขาจะเริ่มขยับบิน  ตอนแรกก็ออกไปสำรวจโลกคริสเตียนรอบๆ ตัวก่อน  และในที่สุดจะออกบินไปเป็นอิสระ เพื่อออกไปปลูกสร้างคริสตจักรต่อไป  (อันนี้คือเป้าประสงค์ที่สุดยอดของการเป็นผู้เชื่อ)

เพราะการปลูกสร้างคริสตจักรต้องมีค่าใช้จ่ายสูง  ผู้นำต้องจบหลักสูตรที่กำหนด  ต้องมีทุน   ต้องมีผู้สนับสนุน   ต้องมีอาคารนมัสการ  ต้องมีอุปกรณ์สารพัน  ต้องโน้นนี่นั่นโน้น  สารพัดต้อง  ผู้เชื่อจำนวนมากคิดไม่ตกว่าตัวเองจะทำได้อย่างไร เพราะการได้รับความคิด ความเชื่อตามแนวคิดการปลูกสร้างคริสตจักรแบบอาคารถาวรที่ต้องอาศัยต้นทุนที่สูงมาก  พวกเขาจึงคิดไม่ตก  หรือไม่เคยคิดเรื่องการออกไปประกาศด้วยตนเอง  ด้วยข้ออ้าง “ไม่มีของประทาน”  "ไม่มีทุน"  และคิดไม่ตก

นอกจากนี้ การจะเป็นผู้รับใช้  การจะเป็นผู้ประกาศ  ระบบศาสนากำหนดคุณสมบัติผู้นำความเชื่อไว้สูงลิ้ว  คือต้องจบพระคริสต์ธรรม จากสถาบันที่กลุ่มของตัวเองรับรองเท่านั้น คือ ต้องจบปริญญาตรีพระคริสตธรรมจากสถานศึกษาที่คณะรับรอง  ต้องมีคริสตจักรรับรอง  หากผู้เชื่อจบจากสถาบันอื่นนอกกลุ่มก็จะไม่เป็นที่ยอมรับให้เข้าทำงานในกลุ่มของตนเอง  

หากมีคริสตจักรเกิดขึ้นใหม่ ที่ยังหาสังกัดไม่ได้  พวกนักการศาสนามืออาชีพก็จะพยายามดิสเครดิสกลุ่มอื่น  ด้วยการกล่าวหาด้วยข้อหาอมตะที่น่าละอายมากด้วยคำว่า “คริสตจักรเถื่อน”  ลัทธิเถื่อน  กรมศาสนาไม่รับรอง   พร้อมทั้งสั่งห้ามไม่ให้สมาชิกไปฟังคำสอนนอกกลุ่ม หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนากับคริสตจักรนอกกลุ่ม  เพื่อปิดหู ปิดตาสมาชิกให้หลงเชื่อว่า คำสอนของกลุ่มตัวเองนั้น สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เพื่อจะเป่าขมองสมาชิกให้เชื่อผิดๆ จะได้ไม่ออกไปไหน  เพราะพวกเขาเกรงว่า หากผู้เชื่อได้กินอาหารดีๆ ได้รู้ความจริงที่จะทำให้แกะอ่อน  แกะเชื่องๆ เติบโตกลายเป็นราชสีห์  แล้วหนีไปได้

แน่ทีเดียวการมีความรู้ทางพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งจำเป็นในการเผยแพร่ความเชื่อเรื่องพระคริสต์ และคงปฏิเสธไม่ได้สำหรับการจะเป็นผู้นำทางความเชื่อ  หลายท่านอาจไม่ได้รับทราบว่า  สถาบันที่ก่อตั้งกันขึ้นมาอย่างมากมายนั้น มีปัญหาด้วย เพราะหลายแห่งไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรของรัฐ ต่างคนต่างสอนตามหลักข้อเชื่อของฝ่ายตนเอง  เวลาสอนยังต่อต้านความเชื่อแบบอื่นๆ ที่ฝ่ายตนไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ  นักศึกษาจึงได้รับแนวความคิดแบบแตกแยก ออกมาด้วย จึงไม่แปลกที่ ผู้นำความเชื่อแต่ละกลุ่มจะต่อต้าน และขัดแย้งกันในเรื่องหลักคำสอน และการปฏิบัติ 

ในการก่อตั้งสถานศึกษาพระคริสต์ธรรมนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้อาศัยเงินคนไทยหรอก  ส่วนมากมาจากเมืองนอกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีทุนจากเมืองนอกเข้ามา ผู้นำแต่ละกลุ่มก็จะแข่งกันตั้งสถาบันสอนพระคัมภีร์ขึ้นโดยอ้างจุดประสงค์สำคัญเหมือนกัน คือสร้างสาวกเพื่อออกไปปลูกสร้างคริสตจักร  แต่ผลผลิตการสร้างสาวกส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนใหญ่นั้น  เน้นการสอนให้ทำศาสนพิธี เพื่อไปรับใช้ระบบศาสนา จึงไม่แปลกใจที่เราเห็นผู้จบวิชาศาสนาไปจุกตัวอยู่ในโบสถ์แบบอาคาร ตลอดชีวิต

เพราะได้รับแนวความคิด  การปลูกฝังให้ทำตามอย่างแบบพิมพ์ นั่นคือผู้สอนในสถาบันเหล่านั้นก็คือผลผลิตจากโรงงานแบบเดียวกัน  คือให้สอนให้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา และให้ทำตามระบบศาสนาแบบอาคารที่ถ่ายทอดมาเป็นร้อยๆ ปี  การทำอย่างนี้ผู้รับการถ่ายทอดที่อ่อนเยาว์ในความเชื่อ กลับเข้าใจ มีความเชื่อว่า การปฏิบัติศาสนกิจ  คือการเป็นผู้ประกอบพิธีศาสนานั้น  เป็นการรับใช้พระเจ้าที่สุดยอดแล้ว


พี่น้องเชื่อไหมครับ การเติบโตในพระคริสต์แท้จริงไม่ได้วัดกันที่ความรู้ทางพระคัมภีร์    ระยะเวลาที่มาอยู่ในศาสนา   ศักดิศรี หรือฐานะตำแหน่งทางศาสนาหรอก  ท่านอาจเคยได้ยินข่าวเป็นระยะๆ เสมอว่า  ผู้นำทางศาสนาในคณะต่างๆ  วิ่งเต้นล๊อบบี้ หาเสียง  สาดโคลนคู่แข่ง  บ้างทะเลาะและแย่งชิงตำแหน่งทางศาสนากัน  ฟ้องศาลกัน แตกแยกกัน  ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มีความรู้  มีศาสนศักดิ์ที่สูงส่ง เป็นถึงผู้นำของกลุ่ม  และมีพรรษาในการรับใช้พระเจ้ามานับสิบๆ ปี 

การเติบโตในพระคริสต์นั้น  เขาวัดกันที่ไหนล่ะ  พรรษาการเชื่อพระเจ้า  การไปโบสถ์เป็นประจำ  ตำแหน่งในโบสถ์  ความรู้ทางศาสนา และศาสนศักดิ์หรือ

กรุณาติดตามตอนที่สอง

ตอนที่สอง



@ Rice Mu
August 7, 2013
A message from `Rice mu:
All right reserved:

HOME กลับไปหน้าแรก



Tag:  การพัฒนาคริสตจักร + วิธีการเทศนา +การปลูกสร้างคริสตจักร+ การสร้างสาวก + วิธีการสร้างสาวก+ การเป็นผู้นำอนุชน+ การจัดการคริสตจักร+การบริหารคริสตจักร+ สหกิจคริสเตียน+ องค์กรคริสเตียนในประเทศไทย+ การนำนมัสการ+ เคล็ดลับในการเติบโตกับพระเจ้า

1 ความคิดเห็น:

  1. พอดีเหลือบตาไปเห็นครับ มีนักการศาสนาเขาฝันและอยากได้้จริงๆ

    คริสตจักรxxxxxx

    ความฝัน และนิมิตคจ.

    -อยากได้ นักธุรกิจ ร่วมรับใช้ดูแลคจ.สักหนึ่งครอบครัว

    -อยากได้ทีม นมัสการเต็มวง พร้อมเครื่องดนตรี เครืองเสียง สัก หนึ่งชุด

    -อยากได้ผู้ช่วยติดตามผลที่พร้อมลุย ไม่เกี้ยงงาน สัก หนึ่งคน

    -อยากได้มิชชั่นนารี ที่พร้อมสร้างสาวก ที่รักคนไทยพร้อมใจเดินร่วมกับผู้รับใช้ไทยสักหนึ่งครอบครัว

    -อยากได้ สมาชิกที่ไม่ขาดเรียนพระคัมภีร์รอบบ่าย สัก หนึ่งปี

    -อยากได้มีงบ ค่าเช่า และในการรับใช้อย่างพอเพียงในแต่ละ หนึ่งเดือน
    นี่เป็นคำอธิษฐานของเรา ตลอดหนึ่งปี และยังคงฝัน และมีนิมิตทีจะเห็น คนจนได้รับการช่วยกู้ เด็กด้อยโอกาส มีโอกาส เด็กเสี่ยงติดเกมส์ เลิกและมีกิจกรรมดีๆ จากคจ.เด็กที่จะมีกำลังพอในการดูแลพวกเขา

    ขอให้เป็นไปตาม พระวจนะ ฟป. 4:6-7 "อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการ อธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ....แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์.อาเมน.

    .. คือถ้าได้ตามนี้แล้ว คนทีเป็นนักการก็จะสบายไปหนึ่งชาติเหมือนกัน

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)