ท่านมีแสงสว่างในตัว You are the light to the world



๐ ท่านทั้งหลายมีแสงสว่างในตัว๐

"ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่กำบัง หรือเอาถังครอบไว้แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้

ตาเป็นประทีปของร่างกาย เมื่อตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่เมื่อตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย

เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี 

ไม่ให้ความสว่างซึ่งอยู่ในท่าน

กลายเป็นความมืดนั่นเอง


เหตุฉะนั้นถ้ากายทั้งสิ้นของท่านเต็มด้วยความสว่าง ไม่มีที่มืดเลย ก็จะสว่างตลอด เหมือนอย่างแสงสว่างของตะเกียงที่ส่องมาให้ท่าน"

ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ซึ่งจะไม่รู้ จะไม่ต้องแพร่งพราย" [พระธรรมลูกา 11]


"เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี

ไม่ให้ความสว่าง

ซึ่งอยู่ในท่านกลายเป็นความมืดนั่นเอง"



ทราบไหมว่า สาเหตุสำคัญที่คนไทยไม่ได้รู้จักพระเจ้า ไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงนะ พวกเขารู้ว่ามีวิญญาณ มีผี แต่คนไทยชอบไหว้ผี นับถือผีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะรับเอาศาสนาไหว้รูปเคารพเข้ามาเสียอีก พวกเขากลัวผีจะทำร้าย ไม่กล้าออกจากผี เพราะผีเอาถึงตาย

แต่สาเหตุที่สำคัญไม่ใช่เพราะว่าพระคริสต์ไม่ดี พระเจ้าไม่ดี แต่เพราะพวกเขาไม่เห็นแสงสว่างของพระเจ้าผ่านทางผู้เชื่อ  ผู้เชื่อจำนวนมากเก่งแต่ในโบสถ์ ในตอนไปไหว้พระเจ้าเท่านั้น  เวลาออกไปไหน ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเป็นพยานเล่าถึงความดีที่พระเจ้าได้กระทำในชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่เจ็บป่วยง่าย เขาก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าอวยพรเขา เขามีกินมีใช้พอเพียงเขาก็คิดว่าที่เขาอยู่ดีกินดีเพราะเขามีความรู้ มีความสามารถ  เขาไม่กล้าบอกว่าพระเจ้าอวยพรเขา

ผู้เชื่อบางคนยังทำตัวเป็นไฮโซ ถ้าอยู่นอกบริเวณอาคารโบสถ์เขาไม่ทักไม่ทายคนก่อน เพราะความยะโสถือดีในตัวที่เขาเองก็ไม่รู้  แต่ใช้คำว่าไม่กล้ามาเป็นข้ออ้าง

ผู้เชื่อบางคนเวลามีโอกาสต้องนั่งโดยสารรถทัวร์ ระยะทางเป็นหลายร้อยกิโลเมตร  เวลานั่งเก้าอี้ติดกับคนแปลกหน้า สีข้างเบียดกันไปตลอดทาง  คำพูดแม้สักคำหนึ่งก็ไม่ยอมจะปริปากเรื่องพระเจ้า  พูดแต่เรื่องสามัญที่ใครๆ ชอบทักทายกัน    บางคนยิ่งแย่กว่าอีก  คือเขามีนิสัย(เสีย) คือไม่ทักไม่ทายใครก่อนอีกด้วย แต่ถ้าเป็นตอนที่เขาอยู่ในโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์จะก็  เขาจะทำตัวเป็นแม่พระ  ทักทายไปทั่ว  ปากก็ว่าพระเจ้าอวยพร พระเจ้าอวยพร  ลับหลังอาจารย์ก็ด่าเป็นไฟแล๊บ  ไม่กลัวบาป ไม่กลัวพระเจ้า  เอาแต่หงุดหงิด และสร้างปัญหาให้คนรอบข้าง แต่อ้างว่าคนอื่นทำให้โกรธ

ตอนนี้ยิ่งไปกันใหญ่  พวกผู้นำความเชื่อบางคน หรือผู้อาวุโสทั้งหลายผู้เชื่อพระเจ้ามาหลายปี  ตอนอยู่ในโบสถ์พวกเขาสอนเรื่องความรัก การให้อภัย การยกโทษ   แต่เวลาเล่นสื่อมีเดีย อินเตอร์เนตเห็นเขาโพสแต่คำด่า คำหยาบคาย  ทำตัวเหมือนกับว่าเขาไม่เคยเรียนเรื่องพระคริสต์มาเลย  ด่าออกอากาศ โพสด่าคนคิดต่างเรื่องการเมือง  อย่างหยาบคายไร้รัก   บ้างก็เลียเจ้าจนไม่ลืมหูลืมตา  บ้างก็รักสี  รักพวกพ้อง เอาตัวไปฟังความข้างเดียว แล้วก็ด่าเขาไปทั่ว   ผู้เชื่อที่ทำตัวอย่างแบบนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ

ถ้าใครพบเห็นคนประเภทนี้ ขอท่านอย่าไปถือสาว่าผู้เชื่อพระคริสต์เป็นแบบนี้ไปหมดนะครับ ให้ท่านทราบได้เลยว่า คนที่เชื่อพระเจ้าแล้วยังทำตัวแสบๆ เที่ยวด่า เที่ยวตัดสิน เที่ยวแช่งสาปคนอื่นๆ ที่คิดต่างแบบนี้  ขอท่านเข้าใจเถอะว่า คนพวกนี้เขาเป็นแต่ศาสนิกที่ถือศาสนาแต่เปลือกนอกเท่านั้น พระเจ้ายังไม่ได้ครอบครองใจของเขาหรอก  เขาจะยอมพระเจ้าเฉพาะเช้าวันอาทิตย์ ตอนเขาไปไหว้พระเจ้าเท่านั้น

ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังเพื่อให้ท่านเข้าใจกระจ่างมากขึ้นว่า คนมีแสงสว่างในตัวนั้นเป็นอย่างไร

วันหนึ่งผมได้ไปสามัคคีธรรม(นั่งพูดคุยกัน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า) กับพี่น้อง นักประกาศเรื่องพระคริสต์อีกคู่หนึ่ง เป็นสามีภรรยาหนุ่มสาว และมีเพื่อนของเขาที่มาเยี่ยมเขานั่งอยู่ด้วยในวงสนทนา

เพือนคนนี้ที่นั่งร่วมวงสนทานก็กำลังพยายามประกาศเหมือนกัน   แต่ไม่ได้ผลเลยแม้แต่กับภรรยาของตัวเองก็ยังไม่เชื่อฟังเขาเลย  วันนั้นเราคุยกันหลายหัวข้อ  พอมาถึงเรื่องการประกาศ เพื่อนของเขาก็ซักถามผมใหญ่เลย เรื่องการเกิดผล เรื่องการนำคนมาเชื่อ เรื่องการนำคนมารอด เขาอยากเกิดผล เขาอยากจะพาคนมาเชื่อพระเจ้าเยอะๆ เหมือนเพื่อนนักประกาศ เหมือนคนอื่นๆ แต่เขาทำไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียวทั้งๆที่เป็นผู้เชื่อมาตั้งหลายปี

เขาก็ถามว่าผมว่า  "ทำไมผมจึงไม่เกิดผลเลย ทั้งที่พยายามมานาน"

ผมยังไม่ทันได้ตอบ เพื่อนของเขาซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ นำเขามาเชื่อพระเจ้าตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ตอนนี้ก็มีภรรยามีลูกแล้ว  แต่ยังไม่เกิดผลเลย  เขารู้ว่าที่เพื่อนเขาเป็นแขนงไร้ผลเพราะอะไร

เพื่อนของเขาที่เป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณตอบไว้อย่างน่าฟังว่า

"ไม่ต้องแปลกใจหรอก เพราะตัวเธอเองยังไม่รู้จักบังคับตนเองดีพอ
เดี๋ยวก็เหวี่ยง เดี๋ยวก็ท้อ เดี๋ยวก็โมโห แล้วใครจะเชื่อสิ่งที่เธอพยายามประกาศบอกว่าพระเจ้าดี พระเจ้าเปลี่ยนชีวิตได้"

" เพราะแสงสว่างในตัวเธอมันมีน้อยเกินไปหรือเปล่าจึงส่องทางให้ใครไม่ได้"

น่าคิดไหมครับพี่น้อง


ถ้าหากท่านเป็นผู้โดยสารที่ฉลาด ท่านจะต้องนั่งรถยนต์รับจ้างเพื่อออกเดินทางไกลเสมอ ถ้าท่านต้องเดินทางไกลๆ เป็นหลายร้อยกิโลเมตร ท่านจะเลือกเช่า หรือจ้างคนขับรถแบบไหน  ท่านจะเลือกคนขับรถที่ขับรถเร็ว ขับรถประมาท  ขับรถกินเลนคนอื่น  บีบแตรไล่รถคันอื่น เปิดเพลงเสียงดังไปตลอดทาง  ขับรถเหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา  บางทีก็เบรคกระทันหัน  บางวันก็ด่าคำหยาบใส่คนขับรถคันอื่นที่อยู่ข้างหน้าเพราะเขาขับกินเลน หรือขับเลนขวาแต่ขับช้าๆ หรือไม่

เป็นไปได้ไหมว่าคนขับรถนิสัยแบบนี้พวกเขาขาดการอบรม ขาดใครสักคนที่เป็นมืออาชีพมาสอนเขา เขาจึงไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรที่ควรทำ แม้จะรู้ว่าอะไรไม่ดีแต่ก็ยังฝืนทำอยู่  แน่ทีเดียวเขาเป็นพวกที่ไม่เหมาะที่จะเป็นคนขับรถแต่อาจจะเหมาะสำหรับการเป็นนักมวย นักสู้บนเวทีมวยมากกว่า

ฉันใดก็ฉันนั้นการเข้าถือพระเจ้า คงไม่มีใครอยากมาถือแน่ถ้าผู้เชื่อพระเจ้ายังทำตัวเหมือนกับคนขับรถนิสัยเถื่อนๆ ไม่มีจริยธรรม ไม่มีมาตรฐานวิชา  เพราะไม่ได้รับการอบรม  ไม่มีใบขับขี่สาธารณะ

ขอพระเจ้าเมตตาให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ยอมถ่อมใจรับคำสอน แล้วท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและจะมีแสงสว่างในตัว แล้วท่านจะเกิดผลนำคนมารอดอย่างแน่นอน

ขอพระเจ้าอวยพระพร

‪#‎ชาโลม‬

HOME 

Original Message from Rice Mu, March 4, 2014

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)