ความทุกข์ใจของอาจารย์ใหญ่ Discouraging embarrassment of some believers


๐ ความทุกข์ใจลึกๆ ของอาจารย์ใหญ่๐


สองปีก่อนผมได้พบนักศาสนาผู้กว้างขวางในแวดวงคริสตจักรใต้ดินแถบอินโดจีนท่านหนึ่ง ท่านชื่อว่าลุงเดวิด  ท่านเป็นชาวอเมริกันเชื่อสายเวียตนาม ผมขอบอกชื่อท่านตรงๆ ไปเลย เผื่อมีใครรู้จักท่านจะได้ทราบความจริงจากความทุกข์ใจของท่าน  แม้ผมจะขานชื่อท่านตรงๆ ไว้ที่นี้  แต่ผมเชื่อว่าท่านไม่สนหรอก  เพราะท่านไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง และหน้าตาอยู่แล้ว เวลาท่านไปทำพันธกิจในประเทศต่างๆ ท่านต้องปลอมตัว ปลอมชื่่อเปลียนไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้แอบเข้าไปช่วยคริสเตียนใต้ดินในประเทศต่างๆ แถบเอเชียที่ปกครองระบอบคอมมิวนิส

ท่านเดวิดติดต่อมาขอมาเยี่ยมผมที่เชียงราย หลังจากที่ผมพาทีมงานไปสาธิตพลังอำนาจของพระเจ้าเพื่อการปลดปล่อยให้กับคริสตจักรแนวใต้ดิน และพี่น้องคริสตจักรบ้านที่นครโฮจิมินห์ เป็นเวลาสามวัน ผมได้รู้จักกับพาสเตอร์ใหญ่ของกลุ่มคริสตจักรบ้านที่โฮจิมินห์ (รายละเอียดผมเขียนไว้เป็นหลักฐานในบล๊อก reewat.blogspot.com ก่อนนี้นานแล้ว) 
ทราบไหมครับว่าความทุกข์ใจของท่านอาจารย์เดวิดคืออะไร 

มันไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่เรื่องงานส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องกลัวระบบคอมมิวนิส หรืออะไรอื่นๆ

ท่านมาหาผมที่เชียงราย เพื่อจะมาดูหน้าผมอยากเห็นตัวจริง เพื่อจะได้สอบถามและขอให้ผมแนะนำเรื่องที่ท่านทุกข์ใจมากมาเป็นเวลาหลายปี ตลอดชีวิตการรับใช้ของท่าน  ตัวจริงของผมไม่มีอะไรน่าดูหรอก ยิ่งตอนนี้ไว้หนวก ไว้เครายาวเป็นตาแก่ ภรรยายังบอกว่า น่าเกลียดด้วยซ้ำ 

จุดประสงค์สำคัญที่ ท่านมาหาผมเพื่อจะถามผมว่า " ยูมีทำอย่างไรยูถึงสามารถช่วยคนได้" ผมก็ตอบท่านไปว่า

"โอ้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านก็บอกว่า เอ้..มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรเลยนะ ผมก็บอกท่านไป หนึ่งสองสามสี่"

ท่านเดวิดก็ตอบว่า  "แล้วทำไมผมไม่มี อันนี้คือความทุกข์ใจสูงสุดในการรับใช้ของผมเลยนะ" 

ผมก็ถาม  อ.เดวิดว่า "ทำไมหรือ ทำไมท่านต้องทุกข์ใจ ก็นักการศาสนาหลายๆ คนเขาก็อ้างน้ำขุ่นๆ ว่า ผมไม่มีของประทานเหมือนกัน เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนใจอะไรนิ  เขาก็สบายดีมีสุข มีสมาชิกมากมาย แล้วทำไมท่านต้องเดือดร้อนใจด้วย"

อาจารย์เดวิด ตอบเสียงละห้อยเป็นภาษาอังกฤษ แปลความได้ว่า

"ยูทราบไหม คนหน้าใหญ่อย่างไอนะ เป็นคนต้องเดินทางตะลอนๆ ไปโน้นมานี่เพื่อไปหนุนใจคริสเตียนใต้ดิน เพื่อช่วยพวกเขาให้เติบโต และพัฒนาไปสู่การขยายคริสตจักรให้มากๆ เพื่อนำคนมารอดให้มากขึ้น แต่ว่า เวลาไอไปไหนนะ ไอจะรู้สึกหน้าแตก และเสียหน้าทุกครั้งเลย"

ผมก็ซักสงสัย ก็ถามต่อ  "อ้าว มันเป็นไงหรือท่าน"

อ.เดวิด ตอบว่า "ก็เวลาฉันไปไหน คนก็คาดหวังว่าไอคืออาจารย์ใหญ่ เขาก็พาคนเจ็บคนป่วยมาหา เพื่อให้ไอวางมือ แต่ไอวางมืออย่างไรมันก็ไม่หายสักราย  แล้วจะไม่ให้ไอตาแตกได้อย่างไร" 

ผมก็เลยถึงบางอ้อ  และเรื่องนี้ผมก็ลืมไปนานแล้ว

เมื่อวานที่ผมจัดมีทติ้งที่บ้าน(10 มี.ค. 14) ผมก็ได้พบปะกับศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบัน และพี่น้องก็มาสามัคคีธรรมกันหลายคน เพราะผมมี ผู้เผยพระวจนะพอลล่า จากกรุงเทพมาเยือน สามวัน  ผมก็ดีใจ ก็บอกข่าวไป ก็มีคนมาสามัคคีธรรมหลายคน

ก็มีศิษย์เก่า และศิษย์ใหม่ พี่น้องมางาน  ศิษย์เก่าคนหนึ่งที่มางาน พอเสร็จงาน เราก็คุยกันนอกรอบ เขาก็บอกกับผมอีกว่า

"อาจารย์ค่ะ อาจารย์ที่โบสถ์นะเขาไม่ค่อยแฮปปี้ให้หนูเผยพระวจนะ  เวลาหนูอธิษฐานเห็นโน้นเห็นนี้ หนูก็พยายามเขาบอก    เขาก็ไม่ค่อยสนใจ เขาบอกว่า เรื่องนี้อาจเป็นจิตวิตก เพราะถ้าเราหมกมุ้นเรื่องอะไรมันก็จะเห็นภาพหลอนได้นะ  อย่าไปเชื่อถือเลย มันไม่มีจริงหรอก แต่เมื่อเวลามาถึงมันก็เป็นจริง แต่เขาก็ไม่พูดถึงเลย ไม่ยอมรับ"

"หนูมักจะได้ยินอาจารย์ ศ.บ.เขาบ่นนะอาจารย์ เขาบอกว่า สิ่งที่เขาเสียใจ หนักใจที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือว่า เขาไม่มั่นใจ และรู้สึกเสียใจที่วางมือคนแล้วไม่หาย ไม่รู้ทำไมเป็นเช่นนั้น เขาอยากจะวางมือแล้วคนหายป่วย และปลดปล่อยได้บ้าง"  

เมื่อผมได้ฟังเรื่องนี้ผมก็คิดหวนไปถึง อาจารยเดวิด คนอเมริกันคนนั้นที่เขาเคยเล่าความทุกข์ใจของเขาให้ผมฟังเมื่อสามปีก่อน  ที่เขาเองก็ประสบกับความทุกข์ใจ จากข้อจำกัดทางวิญญาณของเขาแบบนี้เหมือนกัน

พี่น้องครับ พวกนักการศาสนาไร้ฤทธิ์ไร้เดชที่มีข้อจำกัด และเกิดทุกข์ในใจเหล่านี้ น่าสงสารมากครับ เพราะเขารับใช้ศาสนา แต่ไม่รู้ตัวว่าถูกระบบศาสนาครอบงำความคิดของเขา เขาถูกสอนมาว่า ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่มีแล้วในปัจจุบัน ถ้ามีก็จะมีอยู่กับบางคน  ไม่มีในคริสตจักรของตนเอง และไม่เข้าใจว่าตัวเองทำไมถึงไม่มี  บางกลุ่มยังถึงกับต่อต้านเรื่องการหายโรค เรื่องการขับผี เรื่องการล้มในพระวิญญาณไปเลย

ไม่ต้องแปลกใจครับพี่น้อง เราไม่สามารถจะเอาวิชาเคมี ฟิสิกส์ไปสอนให้เด็กสายศิลป์เรียนได้เข้าใจง่ายๆ ฉันใด พวกนักการศาสนาสายไม่เอาฤทธิ์เดช โรงเรียนพระคริสต์ธรรมที่เน้นสอนแต่วิชาการศาสนา  เน้นสอนการทำพิธีกรรมทางศาสนาก็คงเหมือนกัน  ผมว่าถ้าใครไปเรียนแล้ว คงจะได้แต่วิชาการละครับ แต่ฤทธิ์เดชไม่ได้  ต้องไปหาเองจากสำนักที่เขาชำนาญการเรื่องนี้ หรือไปเฝ้าพระเจ้าของเองเลย แต่คงยากมากครับ เพราะเหมือนตาบอดงมช้าง เดินทางในป่าไม่มีเข็มทิศ และไม่ผีคนนำทาง

ทำไมถึงไม่ได้  ก็เพราะเขาไม่เชื่อแล้วจะทำได้ยังไง ไม่มีคนทำให้ดู  ไม่อยากดู ไม่มีประสบการณ์แล้วจะทำได้ยังไง  ถึงขับผีได้ก็นอนไม่หลับไปสามสี่วันโน้นแหละ  บ้างเอาเรื่องขับผีตั้งแต่สิบปีก่อนมาเล่า ปัจจุบันไม่มีผีให้ขับเลย หรือคิดว่า ผีหมดไปจากโลกแล้วก็ไม่รู้

 ลองนึกถึงเรื่องแม่ปูสิครับ แม่ปูยังเดินเขยกแล้วจะให้ลูกๆ ของมันเดินตรงได้อย่างไร ใครจะไปสอนให้มันเดินตรงได้  ฉันใดก็ฉันนั้น อาจารย์ที่ไม่เข้าถึงการเจิม ใช้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าไม่เป็นก็คงไม่สามารถจะส่งต่อองค์ความรู้เรื่องการปลดปล่อยและการเจิมของเขาไปให้ใครได้หรอกครับ นอกจากเขาจะสอนให้คนเป็นคนดี เชื่อและรับความรอด เท่านั้นก็คงเพียงพอแล้วสำหรับนักการศาสนาหลายๆ คนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้

ท่านละครับยังอยากจะทุกข์ใจเหมือนนักการศาสนาสองท่านที่ผมยกมาเล่าแบ่งปันตรงนี้ไหมครับ ถ้าท่านไม่อยากเป็นท่านก็ควรเปิดใจตัวเอง ลองศึกษาดูสิครับ การใช้สิทธิอำนาจของผู้เชื่อเป็นพระสัญญาของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่ยังไม่ตาย  อย่าเชื่อพวกที่เป่าขมอง พวกที่ต่อต้านเรื่องนี้เลยครับ มันเป็นการคำสอนที่ทำให้เราติดหล่ม  ไม่ไปถึงไหน  ประกาศก็ไม่เกิดผล ต้องแจกของ แจกทุนการศึกษา เอาสิ่งของไปล่อให้คนมาเข้าศาสนา มันไม่ตรงตามที่พระคริสต์สั่งสอนไว้เลย

การทำการเผยแพร่ศาสนาโดยการแจกของ แจกเงิน ให้ทุนการศึกษา คนส่วนหนึ่งมาเข้าศาสนาเพราะหวังให้เขาได้รับของแจก ได้รับเศษเงินของโบสถ์คริสต์ต่างชาติที่รวยๆ แต่ไม่ได้นำคนมาเป็นสาวก แต่พวกเขามุ่งนำคนเข้ามาผูกมัดในศาสนาเพื่อจะถ่ายรูปไปขอเงินเพิ่มจากสปอนเซอร์ต่างชาติเท่านั้น เมื่อได้คนมาแล้วก็เอามามัดให้มีตำแหน่งสมาชิกในโบสถ์ อยู่กันไปตรงไหน ส่วนใหญ่ถ้าไม่ละทิ้งความเชื่อก็ตายไปในตำแหน่งสมาชิกนั่นแหละครับ

ผู้เชื่อคริสเตียนปัจจุบันหลายส่วนไม่สนใจเรื่องการปลดปล่อย ไม่สนใจฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า แต่สนใจแต่เรื่องการไปโบสถ์วันอาทิตย์  รับคำสอน แล้วก็กลับไปทำตัวตามปกติ ช่วงเวลาเจ็ดวัน ทำตัวไม่แตกต่างอะไรจากชาวโลก แล้วจะพาคนมาหาพระเจ้าได้อย่างไร คนอื่นที่ไม่เชื่อเขาไม่เห็นความแตกต่างอะไรเลยระหว่างคนเชื่อพระเจ้ กับคนเชื่อผี  บางอย่างผียังทำได้ดี และเก่งกว่าคนที่อ้างว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้าซะอีก 

ลองคิดดูสิครับ คนไทยเขาของหายเขาไปหาหมอดู หมอดู และคนทรงยังบอกได้ว่าของหายอยู่ที่ไหน คนหายไปศพหายอยู่ที่ไหนบอกได้  ชี้จุดได้  แต่คนของพระเจ้าบอกอะไรไม่ได้สักอย่าง ดีแต่สอนศาสนา  เวลาพี่น้องมีปัญหา แก้ปัญหาให้ไม่ได้เลย เพราะไม่มีฤทธิ์ของพระเจ้าในตัว อ้างแก้ตัวน้ำขุ่น ให้ไปถามพระเจ้า  อ้าวแล้วจะไปถามพระเจ้าที่ไหน พระเจ้าให้พบได้ง่ายๆ ที่ไหนล่ะ

ถ้าเป็นแบบนี้ ผมว่าน่าคิดนะ  อาจจะน่าอายพวกผีนะ  เพราะแม้แต่พระที่วัดยังไล่ผีได้ แต่นักการศาสนาคริสต์ไล่ผีไม่ออก  วางมือไม่เป็น ไม่หน้าอายคนถือผีหรือครับ  

ถ้าว่าของหายถามคนของพระเจ้าได้ไหม มีในพระคัมภีร์หรือเปล่า ท่านก็ลองไปอ่านพระคัมภีร์ตอนที่ซาอูลแม่วัวหายดูสิครับว่า หาได้หรือเปล่า และเวลาคนจะไปขอความเชื่อเหลือจากคนของพระเจ้า เขาต้องทำตัวอย่างไร และต้องเสียอะไรบ้าง นั่นแหละครับ ท่านจึงจะได้เข้าใจถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และวางตัวได้ถูกต้อง

มีนักการศาสนามากมาย สอนง่ายๆ สอนซ้ำๆ เรื่องพื้่นฐานความเชื่อ แต่ไม่เคยสอนเรื่องฤทธิ์เดช เรื่องผีเลย  การสอนเน้นแต่เรื่องปัจจุบัน ข่าวดัง  สถิติ และอะไรต่าง คนฟังออกโบสถ์ไปก็ยังป่วยเหมือนเดิม ปวดเหมือนเดิม  คนไม่เชื่อจึงคิดว่า ศาสนาไหนก็เหมือนกัน

บ้างสอนว่า ผู้เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน อาจารย์เหมือนกัน ใครวางมือก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องไปหาอาจารย์คนนั้นคนนี้หรอก โบสถ์เราก็อธิษฐานได้  โอ้.... พวกที่พูดแบบนี้มันพวกเห็นแก่ตัว กลัวลูกแกะไปหาคนอื่น กล้วลูกแกะจะรู้มากกว่าตนเอง  

ลองคิดดูสิครับ  แม่ค้าก๊วยเตียวไปเรียนทำก๊วยเตี๋ยว ใช้เวลาแค่ 3 อาทิตย์
รภป. ใช้เวลาเรียน 1 เดือน 
หมอใช้เวลาเรียน 6 ปีฝึกงานหนึ่งปี 

ผมถามว่า ใครมีรายได้มากกว่ากัน แน่นอนไม่แน่นะ แม่ค้าก๊วยเตียวถ้าทำไปนานๆ อาจจะมีรายได้มากกว่าหมอ แต่ถ้าเป็นมือใหม่เหมือนกันใครจะได้เยอะกว่า

เช่นเดียวกันครับพี่น้อง คนเหมือนกัน ระดับความคิด ความเชื่อ การอุทิศตัวไม่เท่ากัน ประสบการณ์ไม่เท่ากันแล้วจะให้มีพลังการเจิมของพระเจ้าเหมือนกันได้อย่างไร เอลีชาทำไมจึงมีการเจิมสองเท่าของเอลียาห์  อันนี้มีในพระคัมภีร์ไหมก็ต้องลองไปเปิดดูแล้วจะได้รู้ความจริง

อันนี้ท่านต้องเก็บไปคิดนะครับว่า  ผมบ่นแบบคนแก่  คันปาก  ไร้หลักฐาน หรือว่าพูดแรงๆ แบบมีหลักการ ของพระเจ้านำพาให้ท่านก้าวไปสู่การทะลุทะลวงทางวิญญาณ เพื่อท่านจะเป็นผู้นำทางวิญญาณคนต่อไป เป็นผู้เชื่อที่เกิดผลในแผ่นดินของพระเจ้า

ชาโลม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)