พลังอธิษฐาน Power of Prayer (3)


 สาวคนนี้เธอทุกข์ทรมานกับ วิญญาณผีพม่าหลายๆ ตัวรบกวน  ผู้นำคริสตจักรขอความช่วยเหลือให้เราไปช่วยอธิษฐานปลดปล่อย ปรากฎว่ามีผีแสดงตัวออกมา  เราก็ขับออกไป แต่ไม่นานก็กลับมาอีก ภายหลังเขาจึงมาหาเราที่บ้าน  เราสอนพระคัมภีร์และอธิษฐานให้อีกครั้งหนึ่ง  ปรากฎว่ามีผีที่อ้างชื่อเป็นชาวพม่าออกมาหลายตัวเหมือนกัน

 ===============================

ในสองตอนที่ผ่านไปผมได้บรรยายถึงวิธีการอธิษฐาน และปัจจัยที่ทำให้เกิดผลไปบ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ผมจึงขอสรุปย่อๆ ดังนี้





ก. จงอธิษฐานขอสิ่งนี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้เราพึ่งพระองค์

ข. จงอธิษฐานขอในพระนามพระเยซูเท่านั้น

ค. เมื่ออธิษฐานขอสิ่งใด อย่าสงสัยพระเจ้า

ง. จงอธิษฐานขอสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

จ. การอธิษฐาน เพื่อตอบสนองความโลภนั้นไร้ผล


ในตอนนี้ผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมตามการรับรู้และความเข้าใจที่พระเจ้าได้เมตตาเปิดเผยให้ผมได้รับทราบ เพื่อแบ่งปันพระพรที่ได้รับ ให้แก่คนเหล่านั้นที่รู้ตัวเองว่ายังเรียนไม่จบ มีใจหิวกระหายการเรียนรู้ ความชอบธรรม และความโปรดปรานของพระเจ้า   เขาอยากจะก้าวไปสูงกว่าระดับความเชื่อที่เป็นอยู่ เขาอยากจะเป็นคนนั้นที่เกิดผลในแผ่นดินของพระเจ้า ไม่เป็นเหมือนพวกฟาริสีที่รู้มากเพื่อเอาไปจับผิดคนอื่น รู้มากเพื่อเอาไปยกตนข่มท่าน

การมุ่งมั่นการเรียนมาเพื่อประดับความรู้ตัวเอง แต่ไม่มีความตั้งใจที่จะไปช่วยใคร ดำเนินชีวิตในความเชื่อพระคริสต์เพื่อรอความตาย เพื่อจะได้อยู่สวรรค์นิรันดร    อยู่ไปเพื่อรับใช้องค์กร และศาสนจักร คนที่เรียนรู้เพื่อจุดประสงค์แบบนี้ช่างน่าเสียดายเวลาการศึกษาจริงๆ เพราะไม่ได้นำใครมารอดพ้นบาป


สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว รู้มากแล้ว ใกล้สำเร็จแล้วผมก็ขอแนะนำว่า หากท่านมีความคิดเป็นแบบที่ผมกล่าวมา การมาอ่านบทความแบบสอนไป บ่นไปของผม อาจทำให้ท่านอารมณ์เสีย และไม่ได้ประโยชน์อะไร และอาจเป็นการเสียเวลาเปล่า


นอกจากนี้หรือมีไหมบางคนที่อยากจะจับผิดคำสอน เพื่อหาทางกล่าวโทษและดิสเครดิสผู้เขียน เมื่อมาอ่านบทความเหล่านี้ เขายิ่งอ่านก็ยิ่งตาบอด ยิ่งอ่าน หูก็ยิ่งหนวกเพราะไม่เข้าใจ อ่านไปก็ยิ่งงง จะไม่ได้อะไร เนื่องจากเขามาอ่านด้วยทัศนคติ ที่ผิดพลาด(Wrong motive) การที่ใครเข้ามาอ่านด้วยจิตใจเย่อหยิ่งยะโส ยิ่งอ่านก็ยิ่งอยากจะอ๊วกเพราะว่าจะไม่ได้อะไรเลย

ทำไมผมต้องเขียนแบบนี้ ก็เพราะผมทราบดีว่าแนวการสอนแบบที่ผมทำอยู่มันค่อนข้างจะแหวกแนวหน่อย มันออกนอกกรอบวัฒนธรรมการเทศนา การสอนของคนบางกลุ่มที่ได้เรียนมาจากสถาบันบางแห่งนั่นเอง มันไม่ใช่รูปแบบการสอนที่คนคุ้นเคยกัน ผมเองก็ทราบว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่ขอเขียนบทความแนวแบบนี้ก็เพื่อแบ่งปันสิ่งที่มากกว่าคำเทศนาที่น่าเบื่อ และเชื่อพี่น้องจะเข้าถึงธรรมได้ดีกว่า การสอนธรรมะ สอนเบื้องหลังพระคัมภีร์อะไรๆ ที่นักสอนทั่วไปเขาทำกัน


เด็กหนุ่มคนนี้อยู่หมู่บ้าน อรุโณทัย ใน จ.เชียงใหม่ เขามีอาการหูหนวก 1 ข้าง  เมื่อเขาได้รับทราบว่าพวกเรามาเยี่ยมหมู่บ้านนี้ เขาจึงมาขอรับการอธิษฐาน ศิษย์ผมคนนี้ชื่อ ชายต้อม เขาไม่ได้ต้องรอให้อาจารย์เป็นผู้อธิษฐาน ต้อมอธิษฐานให้กับเด็กคนนี้ เขาหายจากอาการหูหนวกทันทีหลังจากอธิษฐานเสร็จ
.================================= =.

เอาล่ะผมขอบรรยายต่อเรื่องการอธิษฐานเพิ่มเติมตอนที่สามดังนี้ นะครับ

ฉ. จงอธิษฐานด้วยความเชื่อ


พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า “ถ้าช่วยได้' น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง”

มาระโก 9:23


การอธิษฐานที่บังเกิดผล และมีพลังในการเปลี่ยนแปลงนั้นน่าจะมาจากความเชื่อของผู้อธิษฐานเป็นสำคัญ คำว่าเป็นสำคัญนี้แปลว่า เป็นส่วนที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งของส่วนประกอบเหมือนเป็นส่วนประกอบของส่วนผสมของดินปืนที่จะทำให้เกิดการระเบิด


ใครที่เป็นเด็กบ้านนอก เด็กชนบทคงทราบดีว่า ดินปืนที่ทำให้เกิดการระเบิด หรือเอาไปทำดินปืนในลูกกระสุนปืนนั้นต้องมีส่วนผสมที่สำคัญสามอย่างขึ้นไป คือ

๑. ถ่านที่เกิดจากไม้ที่มีน้ำหนักเบา

๒. ดินประสิว

๓. กัมมะถัน



การทำดินระเบิดเกิดจากการเอาทั้งสามสิ่งนี้มาบด หรือตำให้ละเอียดแล้วผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม ดินระเบิดก็จะออกมาจากสิ่งเหล่านี้ได้



เมื่อผมเป็นเด็ก  การทำบ้องไฟในเทศกาลลอยกระทงนั้นเป็นสิ่งที่ศิษยาภิบาล หรือผู้นำความเชื่อของคริสเตียนสายอนุรักษ์บางโบสถ์ในสมัยก่อนไม่ได้สอนว่า การกระทำสิ่งนี้เป็นอันตราย และคริสเตียนไม่ควรทำ เขาคงเข้าใจว่าพ่อแม่คงจะสอนเด็กเรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับผมไม่ใช่เช่นนั้นเพราะพ่อของผมเป็นคนที่ใช้ปืนแก๊ปในการล่าสัตว์ การทำดินระเบิดจึงเป็นเรื่องสามัญสำหรับเรา



ดังนั้นพวกเด็กๆ แบบผมการทำดินปืน และบ้องไฟจึงเป็นของเล่นสามัญที่เราทำเล่นกันอย่างสนุกสนานบ่อยๆ ในเทศกาลต่างๆ เพราะมันสนุก น่าตื่นเต้นมาทีเดียว ทำไมจะไม่ตื่นเต้นละ เพราะบางครั้งพวกเราทำดินปืนเสร็จแล้วดินปืนจะยังไม่แห้งต้องนำไปตากแดดไว้ให้แห้งการนำมาใช้งานได้ 

แต่ขณะที่เราตากดินปืนไว้กลางแจ้งนั้น เด็กอีกคนที่ทำดินระเบิดเหมือนกันก็ลองดินปืนของคน หรือลองจุดบ้องไฟหางด้วน แล้วมันก็พุ่งมาหาดินระเบิดของอีกคนหนึ่งที่ตากไว้ หรือในขณะที่เขากำลังตำบดดินปืนอยู่ เมื่อประกายไฟเข้ามาก็เกิดการระเบิดลุกไหม้ ไหม้เสื้อผ้ามือและส่วน ผสมดินปืนที่วางไว้ใกล้ๆ ไปจนหมด


บ่อยครั้งที่เด็กบ้านนอกแบบผมคิ้วและขนตาหายไป ผมที่บริเวณหน้าผากหงิกงอและหายไปเป็นแถบ เพราะบ้องไฟพุ่งมาอย่างไร้ทิศทางมาจุดระเบิดดินระเบิดที่อีกคนหนึ่งกำลังทำอยู่นั่นเอง

ยังโชคดีนะที่พวกเราไม่ได้อันตรายมากเหมือนกับที่เป็นข่าวเนืองๆ ที่คนทำดินปืน ทำบ้องไฟต้องมือขาด พิการเหมือนข่าวเณรบางคนตามวัดดังในภาคอิสานที่ ทำระเบิดแล้วเกิดอุบัติเหตุจนเกิดเหตุร้าย

การอธิษฐานที่เกิดผลจึงมีส่วนประกอบปัจจัยสำคัญหลายข้อเหมือนส่วนผสมการทำดินระเบิด ผู้เชื่อที่ต้องการก้าวไปในการเจิมแห่งการอธิษฐานที่เกิดผลต้องเรียนรู้วิธี เงื่อนไข และทำความเข้าใจ



หญิงคนนี้อยู่ชายแดนฝั่งพม่า  เธอได้ยินว่าเรามาทำพันธกิจ เธอจึงมาขอรับการอธิษฐาน เนื่องจากมีอาการปวดท้องและมีโลหิตตก  เมื่อเราอธิษฐานเธอได้รับการปลดปล่อย  เมื่อเวลาผ่านไปสองสามวัน เธอจึงมาเป็นพยานโดยเราได้อัดคลิปเก็บไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา และหนุนใจผู้เชื่อ
========================   = .

การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะทำให้เกิดผลอย่างอัศจรรย์แน่นอน ผู้เชื่อที่ได้เรียนพระคัมภีร์มาบ้าง หรือผู้เป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หรือเป็นประเภทเก่าเก็บ จะกลายเป็นคนที่สามารถอธิษฐานปลดปล่อยให้ใครคนอื่นให้หายป่วย หายใข้และมีผีปรากฎตัวออกมาจากคนปกติได้อย่างน่าพิศวง หากเขาได้รับรู้  เรียนรู้ และฝึกฝนวิธีการอธิษฐานที่ถูกต้องและเข้าใจเคล็ดลับแห่งพระพรแห่งการอธิษฐานนี้

การเพียงแค่รู้พระคัมภีร์เยอะๆ  หรือไปโบสถ์ทุกอาทิตย์อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการอัศจรรย์จากการอธิษฐานได้  เขาอาจได้รับการอบรม การสอนความรู้ทางพระคัมภีร์แต่แค่ความรู้ตามพระคัมภีร์ยังไม่ยังไม่เพียงพอ  คนที่จะเติบโตไปเป็นระดับสาวกต้องได้รับคำสอนจากอาจารย์ที่เป็นผู้กระทำการอัศจรรย์ในพระนามของพระคริสต์ได้  อาจารย์จำเป็นต้องเป็นนักปฏิบัติไม่ใช่นักสอนศาสนา เมื่อผู้เชื่อได้เห็นอาจารย์ทำให้ดูบ่อยๆ จนความเชื่อของเขาเพิ่มมาขึ้น  คือต้องอาศัยความเชื่อระดับหนึ่งจึงจะสามารถเข้าถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการอธิษฐานนี้

พระเยซูคริสต์ได้กล่าวกับคนตาบอดคนหนึ่งที่มาขอให้พระองค์วางมือรักษาเขาว่า

...แล้วพระองค์ทรงถูกต้องนัยน์ตาเขา ตรัสว่า


“ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด”

[พระธรรม]มัทธิว9:29:]


ข้อพระธรรมอีกตอนหนึ่งพระเยซูคริสต์ได้พูดกับหญิงชาวคานาอันที่มาขอร้องให้พระคริสต์รักษาลูกสาวของเธอที่ป่วยอยู่ว่า


“หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด” และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น"

[พระธรรมมัทธิว 15:28:]



ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ต่างเผ่าพันธุ์กับพระเยซู ตามธรรมเนียมคนยิวจะรังเกียจคนต่างชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ต่างสายเลือดกับพวกเขา ก่อนที่พระเยซูจะทำการอัศจรรย์นี้ พระเยซูทดลองความเชื่อของเขา โดยอ้างว่าพระองค์มาเพื่อตามหาแกะหลงของเผ่าพันธ์อิสราเอลไม่ใช่หรือ ไม่ได้เพื่อช่วยคนต่างเผ่าพันธุ์ แต่เนื่องจากความเชื่อของนาง  พระเยซูจึงกล่าวถ้อยคำแห่งฤทธิ์อำนาจที่สามารถรักษาลูกสาวของหญิงชาวคานาอันคนนี้ให้หายได้


นี่คือหลังของหนุ่มผู้เชื่อพระเจ้าแนวอนุรักษ์คนหนึ่ง  เนื่องจากความลุ่มหลงบางอย่าง และความไม่ประสีประสาในเรื่องความเข้าใจพระคัมภีร์  เขาเพลอตัวไปสักยัณห์รูปไม้กางเขนโดยเข้าใจหรือคิดว่า ทำเล่นสนุกๆ เพื่อความเท่  หรืออย่างน้อยก็เป็นสัญญลักษณ์ของชาวคริสต์ แต่เมื่อเขามาร่วมงานอธิษฐานปลดปล่อย  ผีที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเขาได้สำแดงตัวออกมาให้เห็น  และต่อมาก็ถูกขับออกไปในเวลาต่อมา
=================================  ==.


ข้อ ช. ขจัดเสียซึ่งสิ่งที่เป็นอุปสรรคแห่งการอธิษฐานที่ติดอยู่ในตัวของเรา


ในพระธรรม 1 ยอห์น 3:21-23 ได้สอนไว้อย่างชัดเจนมากดังนี้


“ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า และเราขอสิ่งใดๆ เราก็ได้สิ่งนั้นๆจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์...


และนี่เป็นพระบัญญัติของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้แก่เรา”


ผู้อ่านตระหนักทราบไหมว่าพระธรรมตอนนี้กำลังบอกเคล็ดลับที่สำคัญอีกข้อหนึ่งของผู้ที่จะเป็นผู้อธิษฐานที่มีอำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลง และเกิดอัศจรรย์จะได้รับรู้


ในพระธรรมตอนนี้เราสังเกตได้อย่างน้อยสามข้อ คือ

ข้อที่ 1 ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า


คนที่จะมาเฝ้าพระเจ้า หากเขาได้สำรวจตัวเองแล้วพบว่าตัวเขาได้กล่าวโทษตัวเองว่า ตัวเองยังบาป ยังเป็นทาส ยังออมชอมกับความบาป เมื่อเขาอธิษฐานก็เกิดความสงสัย ไม่มั่นใจ  เพราะใจตัวเองฟ้องผิดอยู่ว่า “พระเจ้าไม่ฟังแก เพราะแกมันตัวบาป”  หากผู้ใดยังมีสิ่งนี้อยู่ในใจ จำเป็นต้องขจัดทิ้งไปให้สิ้นเสียก่อน


ดังนั้นผู้ที่จะอธิษฐานอย่างเกิดผลจึงสมควรหมั่นสำรวจพฤติกรรมของตนเอง ทั้งทางด้านวาจา การกระทำ ท่าทาง ท่าทีต่อคนอื่น ตัวเอง และพระเจ้า ไม่ให้มีผิดพลาด


หากใครสำรวจพบว่าในจิตใจ ในความคิด ในพฤติกรรม และวาจามีสิ่งผิดพลาด  ยังมีการฟ้องผิดให้รีบสารภาพและเลิกจากสิ่งเหล่านั้นเพื่อคำอธิษฐานของเขาจะไม่เป็นอุปสรรคที่จะได้รับคำตอบจากสวรรค์


สุภาพสตรีท่านนี้ มีอาการปวดหัวเข่า  เธอเป็นคริสเตียน แต่เจ็บป่วยรับทุกข์ทรมานแล้วจะมีสันติสุขได้อย่างไร  เมื่อเธอถ่อมใจยอมอยู่ต่อหลังการเทศนา (เพราะ คริสตจักรที่เธออยู่ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการอธิษฐานหลังเทศนาเพราะต้องทำตามขั้นตอนการระเบียบพิธีนมัสการอย่างเคร่งครัด) เมื่อเราบอกว่าใครที่เจ็บป่วยให้รอรับการอธิษฐานหลังเทศนาเสร็จ  พี่น้องหลายคนที่รออยู่ก็ได้รับการอธิษฐานให้หายสิ้นทุกคน
============================ ==.


ข้อ 2 (เมื่อเรา) ขอสิ่งใดๆ เราก็ได้สิ่งนั้นๆ จากพระองค์เราก็จะได้


ในวรรคนี้บอกว่าขออะไรก็ได้ เพราะว่าเราปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ และทำในสิ่งที่ชอบพระทัยของพระเจ้า


มีผู้เชื่อไม่มากนักที่เชื่อว่าคริสเตียนยังต้องประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า นักสอนศาสนาสายหย่อนยานจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันสอนสมาชิกว่า เราไม่จำเป็นต้องทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าตามหนังสือพระคริสต์ธรรมภาคพันธสัญญาเดิมทุกบททุกข้อ เพราะสิ่งเหล่านี้มันล่วงไปแล้ว มันไม่จำเป็น และเป็นไปไม่ได้ เพราะเราอยู่ในสมัยพระคุณ เรากินอะไรก็ได้ กินเลือดก็ได้ กินสัตว์รัดคอตายก็ได้ ผิดประเวณีบ้างก็ได้  สามารถเข้าร่วมพิธีกรรมไหว้รูปเคารพและวิญญาณต่างๆ ร่วมกับญาติมิตรได้่   เพราะเรายังอ่อนแอและพ่ายแพ้ต่อเนื้อหนัง  เมื่อทำแล้วให้สารภาพซะก็ได้แล้ว



เพราะเรายังอยู่ในสังคม เราไม่สามารถหลบหนีไปจากสังคมได้  เราสามารถปฏิบัติพิธีกรรมร่วมกับเขาได้แต่ภายนอกแต่ในใจอย่าได้เคารพ พระเจ้ารู้ใจเรา, เราอยู่ในสมัยพระคุณ พระคริสต์ได้ไถ่เราแล้ว เราไม่ต้องไปทำดีอะไรอีก เรารอดแล้ว   พระคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำตามพระบัญญัติเราก็รอดเพราะเราอยู่ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่ พระคริสต์ทำสำเร็จที่กางเขนเมื่อสองพันปีก่อน ให้เรามารับเอาความรอดแล้วก็ทำตัวสบายๆ ต่อไป เพราะเราไม่ได้รอดด้วยการกระทำ บลาๆๆ ก็ว่ากันไป


ในพระธรรมตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ใหม่ได้สอนดังนี้


“แต่เราจงเขียนหนังสือฝากไปถึงเขาว่า ให้งดเว้นเสียจากสิ่งที่มลทินเนื่องด้วยรูปเคารพ จากการล่วงประเวณี จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และจากการรับประทานเลือด”

[ พระธรรมกิจการ 15:20:]

ตอนนี้หลายๆ ท่านคงเริ่มตระหนักว่า คำสอนที่นักการศาสนาสอนว่ากินอะไรก็ได้ยกเลิกไปหมดแล้ว เพราะนั่นมันเป็นสมัยพระคัมภีร์เก่า เราอยู่ในสมัยพระคัมภีร์ใหม่แล้ว จริงหรือ การสอนแบบนี้ถูกต้องหรือ พระธรรมกิจการอยู่ในพระคริสตธรรมใหม่ไม่ใช่หรือ อยากทำก็ทำไปเถอะ  แต่อย่างว่าละครับ  เป็นแค่คนสอนพระธรรม แต่ไม่มีฤทธิ์เดชครับ  การจะมีฤทธิ์มีเดชของพระเจ้ามันต้องลงทุนสูงกว่าคนธรรมดาครับ  จะทำตัวชุ่ยๆ ไปวันๆ ก็ได้ไม่มีใครห้าม  แต่จำไว้ว่าเราหว่านอะไรเราก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น


ผู้หญิงสุภาพสตรีท่านนี้ คงได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการมือชามาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเธอเปิดใจ ถ่อมใจยอมสารภาพความผิดบาป และขอให้พระเจ้ารักษา  เมื่อเราอธิษฐานวางมือเธอก็หายในทันที จึงได้บันทึกคำพยานไว้ด้วยการถ่ายวีดีโอคลิปไว้
====================== ==.

ข้อที่ 3 ให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน


การวางใจในพระเจ้า และการให้ความรักซึ่งกันและกัน เป็นเงื่อนไขสำคัญมากที่จะทำให้คำอธิษฐานของผู้ขอเกิดผลอย่างอัศจรรย์เพราะเขาวางใจในพระเจ้า


มาถึงตรงนี้ผมขอให้ข้อคิดเกี่ยวกับความไว้วางใจพระเจ้าดังนี้ว่า

คนที่วางใจในพระเจ้า จะไม่กลัวผี กลัวแมลงสาป กลัวตุ๊กแก ไม่กลัวความมืดไม่กลัวจน ไม่กลัวสารพัด

คนที่วางใจในพระเจ้า จะไม่นอนพลิกไป พลิกมา นอนไม่หลับ เพราะเขากังวลว่าจะทำอย่างไรดี  เขามีความวิตกกังวลใจ เนืองๆ เป็นเดือนๆ บางคนเป็นปีๆ  บางคนกังวลจนความดันสูงขึ้น โรคหัวใจกำเริบ

คนที่วางใจในพระเจ้า เขาจะไม่เที่ยวไปบ่นความในใจให้ใครๆ ฟังว่าเขากำลังแย่ ลำบาก และกลุ้มหนัก

คนที่วางใจในพระเจ้า จะไม่เที่ยวไปสร้างเงื่อนไขให้คนยอมรับความสามารถของตนเอง เขาจะไม่ทำพันธกิจเพื่อให้คนสนับสนุน ส่งเงินมาให้  หรือให้กลุ่มเงินหนามาสนับสนุน

แต่...

คนที่วางใจในพระเจ้า จะนิ่ง สงบ มีสันติสุข เป็นลูกแห่งสันติสุข เขาไปที่ไหนเขาจะเป็นคนที่ทำให้เกิดสันติสุขเพราะสิ่งที่อยู่ในตัวเขาคือ องค์แห่งสันติสุข คือพระเจ้าที่มีอำนาจเหนือ สถานการณ์ต่างๆ ผู้เชื่อประเภทนี้เมื่อเขาไปที่ไหนที่นั่นมีสันติสุข และความยินดีที่นั่น  เขาทำการรับใช้ด้วยความรัก และด้วยใจกตัญญูรู้คุณพระเจ้า  ไม่คาดหวังการรับรองจากมนุษย์  จากองค์กร  แต่เขามีการรับรองจากพระเจ้า

พระคัมภีร์ตอนหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าประทับเกี่ยวกับคนของพระเจ้า ดังนี้

แท้จริงลักษณะของอัครทูตก็ได้สำแดงให้ประจักษ์แจ้งในหมู่พวกท่านแล้ว ด้วยความเพียร โดยหมายสำคัญ โดยการอัศจรรย์และโดยการอิทธิฤทธิ์
[2 โครินธ์ 12:12 ]


ข้อที่ 3 ที่ผมสังเกตได้จากพระธรรมตอนนี้คือ ความรัก


ผมขอแบ่งปันว่าการดำเนินในความรักคือกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่ง เหมือนส่วนผสมของดินละเบิดที่ต้องมีดินประสิว ถ่าน และกัมมะถัน ความรักก็เช่นเดียวกัน ผู้เชื่อพระคริสต์คือคนที่อาศัยอยู่ในร่มเงาแห่งความรักของพระเจ้า  ท่านคงจำได้นะ อัครทูตเปาโลสอนว่า ความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด ในเรื่องของประทานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยังเป็นสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความรัก  แท้จริงพระเจ้าคือความรัก  ผู้ใดมีความรักแท้ผู้นั้นก็มีพระเจ้าอยู่ในใจแล้ว


ถ้าเราทั้งหลายยังไม่ได้ดำเนินชีวิต ทั้งทางกาย วาจา และการประพฤติอยู่ในความรัก ในใจของเรายังสะสมไม่พอใจ มีความเกลียดชัง ความแค้น มีความขมขืน การอธิษฐานของเราก็จะไม่เกิดผลเลย เพราะการไม่รักคือความเกลียดชัง และคนที่เกลียดชังพี่น้องพระคัมภีร์สอนว่า ผู้ที่ไม่รักพี่น้องเขาก็ยังไม่ได้อยู่ในพระคริสต์


พระธรรมตอนหนึ่งกล่าวว่า


“ดังนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของมาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า นี่เป็นคำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน”

[พระธรรม 1 ยอห์น 3:10-11 ]



ข้อ ซ. ความสนิทสนมกับพระวจนะของพระเจ้า


ความสนิทสนมกับพระคำของพระเจ้า

ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
[พระธรรมยอห์น 15:7]


พระธรรมตอนนี้เป็นกุญแจสำคัญที่บอกให้ผู้เชื่อพระคริสต์ทราบว่า หากผู้ใดมีความสนิทสนมกับพระเจ้า มีจิตใจผูกพันอยู่กับการศึกษา การอ่าน การภาวนาถ้อยคำของพระเจ้าจนถ้อยคำของพระเจ้ากลายเป็นความคิดของเขา กลายเป็นคำพูดของเขา กลายเป็นวิถีชีวิตของเขา มีคำสัญญาว่า เขาจะขอสิ่งใดที่เขาอยากได้ก็จะได้สิ่งนั้น


ข้อความนี้ช่างเป็นพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจมากเพียงใดที่ผู้เชื่อพระคริสต์มีพระสัญญานี้ แต่น่าเสียดายที่ผู้เชื่อพระคริสต์จำนวนมากถือพระคริสต์ตามคำสอนทางศาสนา คิดว่าการติดตามพระเจ้าคือการไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ การเข้าร่วมกิจกรรมสนุกสนาน การรับใช้ในหน้าที่ต่างๆ จนไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับการเข้าภาวนาถ้อยคำของพระเจ้า ไม่มีเวลาอธิษฐานกับพระบิดาอย่างเพียงพอ


ผมมีประสบการณ์มากกมายเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคริสเตียนที่หย่อนยาน และไร้วินัย  ที่ผมเป็นแบบนี้ผมมักจะโทษระบบศาสนาที่ไร้ประสิทธิภาพ  พวกนักการศาสนาที่สอนแต่ศาสนาและสร้างสมาชิกที่พาให้คนหลงทาง  เหมือนการสอนแบบไม่ตรงจุด ไม่ครบถ้วน  เหมือนตาบอกคลำช้าง   การสอนแบบนี้ทำให้ผมต้องหลงทางอยู่ในศาสนาคริสต์กว่าสี่สิบปีอย่างไร้ผล พวกเขาสอนแต่ว่าโบสถ์เราดี โบสถ์เราจะมีสมาชิกเพิ่มๆๆๆๆๆ  แต่ผมไม่เคยได้ยินเขาสอนว่า  เราจะส่งสมาชิกออกไปประกาศและตั้งคริสตจักรใหม่

ผมเองต้องหลงทางและเคยเป็นคนที่ล้มเหลวและเป็นเหมือนกิ่งองุ่นที่ไม่ติดผลมาเป็นเวลาต่อเนื่องกันถึงสี่สิบกว่าปี กว่าที่จะมาเกิดผลนำคนมารอดพ้นจากบาป ความเจ็บป่วยและอำนาจของผีมารซาตาน  เมื่อได้พบกับเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตที่ต้องพึ่งพาไฟแห่งการบัพติสมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการเข้าถึงแหล่งพลังงานทางจิตวิญญาณของพระเจ้า คือการอธิษฐาน  การภาวนาพระธรรมและพระวิญญาณบริสุทธิ์


เคล็ดลับที่สำคัญที่ผมค้นพบอีกข้อหนึ่งคือ  การท่องจำข้อพระธรรมจนเป็นนิสัย ผมหัดท่องข้อพระธรรมตั้งแต่ผมเป็นเด็กหนุ่ม ผมจดจำและท่องพระคัมภีร์แม้ไม่ต่อเนืองมาตั้งแต่หนุ่ม มีบางช่วงที่ผมละเลยสิ่งดีนี้หันไปท่องจำแอลกอฮอล์กับเพื่อนชาวโลกอยู่นานหลายปี   แต่ในที่สุดก่อนจะสายเกินไป  ผมก็กลับมาท่องพระคัมภีร์เหมือนตอนที่ผมทำตอนเป็นเด็ก การท่องจำข้อพระธรรมทำให้การแบ่งปัน การสั่งสอนถ้อยคำของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ลื่นไหลมาก ใครที่เคยฟังผมสอนต้องประหลาดใจที่ผมมักจะไม่ถือพระคัมภีร์เล่มหนาๆ  เหมือนนักการศาสนาทั่วไป

หลายครั้งผมไปเทศนาสั่งสอนการปลดปล่อย คนจะเห็นเสมอว่าผมไม่ได้ถือหนังสือพระคัมภีร์เล่มหนาๆ ผมไม่ต้องเชิญชวนให้คนฟังเปิดโนน้เปิดนี่จนวุ่นไปหมด สิ่งนี้ไม่ใช่สไตล์การเทศนาของผมอย่างแน่นอน ผมเชื่อว่าถ้อยคำของพระเจ้าที่เปล่งออกมาจากใจ แล้วออกมาจากปากของคนของพระเจ้าที่กำลังสั่งสอนนั่นคือฤทธิ์อำนาจ มีฤทธิ์อำนาจอย่างมหันต์ในการเปรียบแปลงชีวิต มันเต็มไปด้วยการเจิม การปลดปล่อย และคนมักจะเห็นการอัศจรรย์ในกระประชุมของเราอยู่เสมอ



ข้อ ฌ. อย่าเก็บซ่อนความบาปไว้ในใจ


ข้อสุดท้ายที่อยากจะนำเสนอเพื่อคำอธิษฐานของใครจะไม่ถูกบล๊อคแต่จะเกิดผล คือ การเก็บซ่อนความบาปไว้จากพระเจ้า


ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์มีคำกล่าวว่า



“ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ”

[พระธรรมสดุดี 66.18]



ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ดาวิดได้ล่วงละเมิดทางเพศกับนางภรรยาแสนสวยของพลทหาร เมื่อนางตั้งครรภ์และคลอดบุตร บุตรของนางได้ป่วยใกล้ตาย ดาวิดได้ไปถืออดถึง 7 วันเจ็ดคืน เพื่ออธิษฐานวิงวอนขอพระเจ้าให้ทรงเมตตารักษาพระราชโอรสที่กำลังป่วยหนักใกล้ตาย


แต่ในที่สุดเด็กทารกนั้นก็ตายไป เพราะอะไรท่านคงทราบดีว่า เพราะดาวิดได้ทำบาปโดยเจตนา ด้วยพลังแห่งเพศ  ความตระกละทางเพศ  ตัวตัณหาที่ขับดัน ทั้งๆ ที่ท่านมีพระมเหสี และนางสนม นางกำนัลที่มากมาย แต่ท่านยังแอบไปขโมยภรรยาของคนอื่นมาเป็นภรรยาของตนเอง ด้วยวิธีการที่ป่าเถื่อนและโหดร้าย คือท่านได้สั่งให้แม่ทัพส่งให้พลทหารที่มีเมียสวยนี้ไปรบกับศัตรูในแนวหน้าที่มีการรบหนาแน่น ดาวิดสั่งการว่าหากมีการรบที่หนาแน่นที่ใด  ให้ส่งนายคนนี้เข้าไปแล้วให้ถอนกำลังทันทีเพื่อปล่อยให้พลทหารคนนี้ถูกฆ่าตาย เพื่อเมียของเขาจะได้เป็นหม้ายและดาวิดจะได้ไปเอามาเป็นภรรยาของตนเอง


พระธรรมซามูเอลได้เขียนบันทึกรายละเอียดไว้ว่า พระเจ้าได้ส่งคนไปเตือนดาวิดให้หันกลับ ดังนี้


...แล้วนาธันก็กลับไปยังบ้านของตน แล้วพระเจ้าทรงกระทำแก่บุตร ซึ่งภรรยาของอุรีอาห์ บังเกิดกับดาวิด และพระกุมารนั้นก็ประชวรหนัก ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิดทรงอดพระกระยาหารและบรรทมบนพื้นดิน คืนยังรุ่ง

บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน  แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่ พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์

[พระธรรม 2 ซามูเอล 12:15]


จากเรื่องที่ผมยกมาแบ่งปัน ได้พบว่า ผลสุดท้ายแม้ว่าเขาได้กลับใจ และพระเจ้าได้อภัยบาปให้เขาแล้วแต่ดาวิดก็ต้องรับผลบาปนั้นไม่เพียงแค่พระราชโอรสเสียชีวิตเท่านั้นแต่บาปแห่งความพ่ายแพ้ทางเพศ ได้ตกทอดมาส่งผลกระทบในทางที่เลวร้ายจนถึงลูกหลานของท่านหลายชั่วอายุ


เมื่อเราทำบาปพระเจ้าจะไม่ฟังคำอธิษฐานของคนที่ทำบาป และเมื่อผลของบาปนั้นตามมา ยากนักที่จะหลีกเลี่ยงจากผลแห่งการละเมิดนั้น


พระธรรมตอนสำคัญอีกตอนหนึ่งได้กล่าวว่า


... แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยก ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า และบาปของเจ้าทั้งหลาย ได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงมิได้ยิน

[พระธรรมอิสยาห์ 59:2:]



ก่อนที่บทความนี้จะยาวเกินไป ผมขอจบด้วยพระธรรมตอนนี้


“ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า 22และเราขอสิ่งใดๆ เราก็ได้สิ่งนั้นๆจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์”

[พระธรรม1 ยอห์น 3:21-22]


พี่น้องที่รักการจะก้าวเข้าไปสู่ชีวิตที่เต็มล้นด้วยพลังแห่งชีวิต ผู้เชื่อที่อยากจะเข้าไปจำเป็นต้องเข้าใจ และฝึกฝนตนเองให้เข้าสู่การหลอม  การชำระ  การฝึกตัวในทางธรรม  จนท่านได้พบกับพระเจ้าตัวต่อตัว  ไม่ใช่พบพระเจ้าตามคำสอนทางศาสนา  ผู้ใดที่ติดตามพระคริสต์  เข้าสนิทกับพระวจนะของพระเจ้า และเข้าสู่การกลับใจอย่างแท้จริง พลังอธิษฐานของเขาจะเต็มล้นไปด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อเขาชนะตัวเอง และได้รับการฝึกฝนเพียงพอ  เมื่อถึงเวลาการเกิดผลของเขาจะไม่ใช่ แค่ได้ผลทีละเล็กน้อย แต่เขาจะสามารถช่วยคนอื่นๆ ให้พ้นทุกข์ นำคนมารับความรอดได้เป็นอันมากในแต่ปี 


ขอพระเจ้าอวยพระพร

Shalom and Shalom

อ่านบทความตอนที่ 1
อ่านบทความตอนที่ 2

Home


Original Writing of Rice MU. November 25, 2012

Copy Righted is granted when request for personal reading and non commercial use

ไม่สงวนลิขสิทธิในการอ่านส่วนตัวและไม่ได้ทำเพื่อการค้า






Tag: การอธิษฐาน +พลังอธิษฐาน + คำอธิษฐานของพระเยซูคริสต์ + การอธิษฐานที่เกิดผล + วิธีการอธิษฐาน + การอธิษฐานขับผีและวิญญาณชั่ว + การปลดปล่อย + การรักษาอาการป่วยทางจิต + โรคเรื้อรัง  + โรครักษายาก + ความกลัว + แพทย์ทางเลือก + การอธิษฐานวิงวอน + พลังแห่งการอธิษฐาน +












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)