พลังอธิษฐาน Power of Prayer (1)


                                                     พลังแห่งการอธิษฐาน

การอธิษฐานใครๆ ก็ทำได้ อาจารย์หรือนักบวชศาสนาไหนก็ทำได้ คนทำธรรมดาก็ทำได้ ผู้นำความเชื่อศาสนาไหนๆ เขาก็ภาวนาอธิษฐานกันทั้งนั้น  แต่ใครล่ะที่เมื่ออธิษฐานแล้วมีการรับรองจากเบื้องบนสามารถเห็นผลแห่งการเปลี่ยนแปลงของการอธิษฐานได้อย่างอัศจรรย์ มีผู้คนหายป่วยหายใข้  ผีออก วิญญาณรบกวนหายไป  จมูกที่ตันอยู่ก็โล่งสบาย  ใข้ก็หาย  ปวดก็หาย รู้สึกตัวเบาๆ เหมือนว่าจะลอยขึ้นจากพื้นได้  ด้วยเป็นผลกระทบจากการอธิษฐานด้วยสิทธิอำนาจแห่งผู้เชื่อของคนของพระเจ้า


ปัจจุบันเราเห็นมีนักเทศน์ นักสอนศาสนากลุ่มความเชื่อต่างๆ บ้างก็มีโบสถ์ใหญ่สนับสนุน บ้างก็เป็นพวกนิยมอิสระไม่ขึ้นกะใคร อ้างว่าทำพันธกิจนั่นนี่  บ้างก็สอนฟรี  บ้างก็แจกบทเรียนฟรี  บ้างก็เดินทางไป
โนน้ไปนี่  บ้างเป็นอาจารย์ใหญ่ดังฝีปากกล้า อาจารย์บางคนเป็นคนดังทำใบปลิวขายดังไปทั่วประเทศ แต่มีใครสักกี่คนที่เมื่อเขาได้วางมืออธิษฐานแล้วคนที่รับการอธิษฐานได้รับการสัมผัสจากพลังเหนือมิติที่ส่งผ่านการวางมือของเขา  ผมว่าในประเทศไทยมีไม่กี่คนหรอก  อาจจะยากสักหน่อยนะครับ เพราะของดีจริงไม่มีให้พบได้ง่ายๆ หรอกใครอยากได้ต้องแสวงหาจริงๆ จึงจะพบ

สำหรับคริสตชนการอธิษฐานนั้นบางคนสอนว่า เป็นเหมือนลมหายใจของชีวิตเลยที่เดียว ผมว่าสอนแบบนี้ก็เกินไปนะ  ถ้าการอธิษฐานคือลมหายใจก็หมายความว่าคนต้องอธิษฐานทุกเวลาเพราะไม่งั้นชีวิตเขาก็คงหมดลมไปแล้วเพราะไม่ได้หายใจ เนื่องจากไม่ได้อธิษฐาน

มีคำสอนมากมายที่คริสตชนได้รับมา  ถูกบ้างผิดบ้าง  บางครั้งคำสอนผิดๆ แต่เมื่อมันออกจากปากนักการศาสนาดังๆ  บางเรื่องมันกลายเป็นเรื่องถูกไปเลยก็มี  สำหรับผมเองผมไม่ได้อธิษฐานแบบทุกเวลาหรอก  วันๆ หนึ่งผมอธิษฐานไม่มากนัก  เฉลี่ยแล้วอาจจะไม่เกินหนึ่งชั่วโมง  แต่เมื่อผมอธิษฐานผมเห็นการเปลี่ยนแปลงเสมอ  เพราะอะไรหรือ 

บทความนี้จะเฉลยให้คนที่อยากเป็น อยากมี  อยากเห็นได้รับทราบและเอาไปปฏิบัติ  ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ใช่นักสอนศาสนา ผมไม่ใช่นักศาสนศาสตร์ที่แจกคำเทศนา หรือสอนด้านความรู้หรือพิธีกรรมทางศาสนา แต่ผมคือคนของพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่และพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับผม ผมจึงทำบางอย่างที่นักการศาสนาทั่วไปทำไม่ได้่  ผมไม่ใช่คนที่มีของประทานพิเศษ หรือมีคาถาอาคมใดๆ ทั้งสิ้น และผมไม่ได้ใช้พลังจิตในการอธิษฐาน

มีนักการศาสนาจำนวนไม่น้อยที่มักจะสอนว่าคริสเตียนต้องอ่านพระคัมภีร์ให้ได้จบเล่ม ตั้งแต่พระธรรมปฐมกาลจนถึงพระธรรมวิวรณ์ ปีละ 1-2 รอบ บางคนอ้างว่าอ่านได้หลายรอบ  เขาสอนว่าถ้าใครอ่านพระคัมภีร์จบปีละหนึ่งรอบจะได้พร  ชีวิตจะสุขสมบูรณ์ และเป็นคนที่เติบโตกับพระเจ้า  มีแต่คนสอนว่าให้เติบโตๆ เติบโตๆๆๆ เติบโตๆ แต่ทำไมจึงไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้าออกมาจากคำอธิษฐานของนักการศาสนาหลายๆ คนละครับ  ถ้าหากใครเป็นคนหนึ่งในกลุ่มคนไร้ฤทธิ์ รู้สึกท้อถอยลึกๆ ในใจ ลองมาหาพระเจ้าในรูปแบบดั่งเดิมสิครับ แล้วการอธิษฐานของท่านจะสร้างผลกระทบอย่างมากมาย

การสอนให้อ่านพระคัมภีร์บ่อยๆ  ย่อมเป็นสิ่งดี  ผู้สอนสอนไม่ผิดนะ การอ่านพระคัมภีร์เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่แล้วสำหรับคริสตชนทุกคน  แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์จบทั้งเล่มปีละหลายรอบจะสามารถอธิษฐานแล้วเห็นการเปลี่ยนแปลง  เห็นคนหายโรค  เห็นคนที่ดูเหมือนปกติไม่มีอะไรผิดธรรมดากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงอาการเหมือนมีผีอยู่ข้างใน  บ้างก็กรีดร้อง บ้างก็ดิ้นทุรนทุราย และบ้างก็หายโรค

บทความที่ผมเขียนส่วนใหญ่เกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า และจากการไปออกพันธกิจมากกว่า การสอนหลักข้อเชื่อ เพราะเรื่องข้อเชื่อมีคนสอนเยอะ  มีคนเทศนาเยอะ  นักสอนจำนวนไม่น้อยมีสปอนเซอร์ใหญ่สนับสนุน  มีโบสถ์ใหญ่  มีทุนมีเงิน  บางคนยังทำแจกฟรีก็มีมาก   แต่ที่ผมเขียนแนวนี้เพราะผมเห็นมาพอควร  ผมมีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชของพระเจ้า และผมอยากแบ่งปัน ผมอยากหนุนใจให้คนหันมาหาฤทธิ์เดชของพระกิตติคุณมากกว่า ความรู้ทางศาสนา และความรอดที่อยู่ไกลมาก ผมต้องการสำแดงให้คริสตชนทราบว่า มีฤทธิอำนาจอันมหันต์ในพระกิตติคุณของพระคริสต์

อัครทูตเปาโลกล่าวว่า

"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายเมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้ามิได้มาเพื่อประกาศสักขีพยานของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำอันไพเราะหรือด้วยสติปัญญา เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ   ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน...

คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่คำที่เกลี้ยกล่อมด้วยสติปัญญา แต่เป็นคำซึ่งได้แสดงพระวิญญาณและพระเดชานุภาพ เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า"

[พระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 2 ข้อ 1-5 ]

ผมมีความปรารถนาให้มีคนได้เรียนรู้ว่า แท้จริงพลังอธิษฐานของผู้เชื่อในพระคริสต์นัันมีสิทธิอำนาจ มีพลังมากเพียงใด  คุณพร้อมหรือเปล่าที่จะรับการเปลี่ยแปลง  เมื่อคุณอธิษฐานแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น  มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น  มีการปลดปล่อย  ผีสำแดงตัวออกมาจากคนที่ยังมีจิตปกติ   การกระทำอย่างนี้ผลกระทบมากกกว่าการอธิษฐานแล้วทำให้แค่ความรู้สึกดี   ทำให้พี่น้องรู้สึกว่าเมื่ออาจารย์ให้พรแล้วรู้สึกดี  เหมือนว่าได้พร  ได้การเจิมเพิ่ม 

แน่นอนการมีพร มีการเจิมเพิ่มเป็นสิ่งที่ดี  แต่ถ้ามันเป็นเพียงความคาดหวัง และความเชื่อที่ยังไม่ได้รับผลมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปขอรับการวางมือจากนักการศาสนาที่เก่งแต่สอนพระคัมภีร์แต่ไม่มีฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ไหลออกมาจากมือของเขาขณะอธิษฐานให้คนที่ต้องการคำตอบ  พี่น้องอยากเป็นคนนั้นไหมที่อธิษฐานแล้วมีการเปลี่ยนแปลง  มีการหายโรค มีการอัศจรรย์เกิดขึ้น


เมื่อปีที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมคริสตจักรบ้านของเวียตนามที่นครเว้ในครั้งแรก  ผมไปถึงคริสตจักรประมาณบ่ายแก่ๆ  ปรากฎว่าการสื่อสารผิดพลาด คริสตจักรไม่ได้เตรียมตัวสมาชิกเพียงพอที่จะรับการฟื้นฟู  ศบ. และผู้นำถามว่า จะทำอย่างไรดีเพราะเราไม่ได้นัดหมายให้สมาชิกมาประชุมฟื้ันฟูอะไรเลย แต่เรามีการอธิษฐานในตอนเช้าทุกๆ เช้าเวลาประมาณ ตี 5

เท่าที่ผมสังเกตชาวคริสต์เวียตนามมีคริสเตียนไม่มากนักที่เอาจริงจังกับความเชื่อ   แม้โบสถ์จะดูเก่าและใหญ่แต่มีสมาชิกที่มาประจำไม่กี่ร้อย  ในตอนเช้ามีสมาชิกมาไม่ถึงห้าสิบด้วยซ้ำ  พวกเขานัดให้ผมและทีมงานมาในตอนเช้าของวันถัดมา  ผมมาถึงคริสตจักรในต้อนเช้า  พวกเขาก็ไม่สนใจที่จะให้เราอธิษฐานอะไร  และที่แย่กว่านั้นพวกเขาไม่เชิญให้ผู้แบ่งปันไปยืนที่ธรรมมาสของพวกเขา   สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดอะไร  เพราะผมทราบว่าแนวคิดของวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์มักจะยกย่องและให้เกียรติอาจารย์ที่มีศาสนศักดิ์ หรือผู้นำในกลุ่ม มากกว่าคนที่มศาสนศักดิ์น้อย หรือผู้เชื่อธรรมดา


การอธิษฐานเผื่อคนป่วยในคริสตจักรเว้ เวียตนาม

เมื่อพิธีกรขึ้นไปนำนมัสการในตอนเช้า  มันก็ไม่แตกต่างจากการนมัสการของกลุ่มอนุรักษ์ในประเทศไทย  พวกเขาร้องเพลงยาวๆ แบบชีวิตคริสเตียน หรือไทยนมัสการอะไรของเขาไป  พิธีกรสตรีก็ดูขึงขังมาก  พอจบการร้องเพลงเธอก็เปิดโอกาสให้ผมแบ่งปัน โดยไม่ได้เชิญให้ขึ้นธรรมมาสเลย แต่ชี้ให้ยืนที่หน้าห้องแทน   ผมก็แบ่งปันไปประมาณสิบห้านาที  แล้วก็จบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เพราะไม่รู้จะทำอะไรดี เพราะเขาให้เวลาแค่นั้น 

หลังพิธีนมัสการตอนเช้า คณะผู้นำและ ศิษยาภิบาลก็เชิญให้เราไปนั่งรับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นอาหารหนักของชาวเวียตนามคือ ก๋วยเตี๋ยวไก่  พอเสร็จก็ตบด้วยน้ำชา  พอดื่มไปคุยไปพวกเขาก็เริ่มสงสัยว่าเราจะแบ่งปันอะไรพวกเขาได้  เราก็บอกว่าไปเรามาเยี่ยมและมาแบ่งปันพระพร ด้านการปลดปล่อยและอธิษฐานเผื่อคนเจ็บ  แรกๆ ดูเหมือนพวกเขาประหลาดใจมาก  เราคิดว่าคงไม่ได้ทำอะไรแล้วเพราะการประสานงานผิดพลาด  แต่ไม่ใช่ครับ พอหลังจากอาหารเช้า  สมาชิกและผู้นำทยอยกันมากระซิบกระซาบว่า  อยากให้อาจารย์อธิษฐานเผื่อให้หน่อย เพราะพวกเขาป่วยกันสารพัดโรคเลย

ในที่สุด ศิษยาภิบาล ก็เปิดโบสถ์ให้เราเข้าไปรอบที่สองหลังจากอาหารเช้า  ก็มีคนเจ็บป่วยเหลืออยู่ไม่กี่คนประมาณยี่สิบกว่าสามสิบได้   ผมก็แบ่งปันและอธิษฐานเผื่อ ปรากฎว่าคนหายเป็นว่าเล่น  พวกเขาก็ฮือฮากัน  ศิษยาภิบาลบอกว่าเราพรุ่งนี้ขอให้อาจารย์มาแบ่งปันอีกครั้งในตอนเช้าวันถัดไป เพราะว่าอยากให้เราอธิษฐานเผื่อคนป่วยที่มีมากมายในโบสถ์ 

เช้าวันต่อมาจึงมีคนมาร่วมเยอะกว่าเดิม  และพวกเขาก็สุภาพและนอบน้อมกับผมมาก  ตอนนี้พวกเขาเชิญผมให้ไปยืนที่บนธรรมมาสอันสูงใหญ่ในโบสถ์เลย  แต่น่าเสียดายครับ  ผมเคยชินกับการยืนข้างล่างเสียแล้ว  เพราะอาจเป็นไปได้ว่า ผมกลัว "ความเห่อเหิม" ก็เป็นได้ ผมจึงขึ้นไปยืนพูดอยู่ประมาณห้าถึงสิบนาที  จากนั้นผมก็สอนไปแอ๊คชั่นไป และกระโดดลงมาสอนที่หน้าห้องแทนการไปยืนบนนั้น 

วันนี้พี่น้องที่มารับการอธิษฐานหายโรคที่หายยากๆ เช่น ไม่เกรน ไซนัส  อาการชาตามเส้นประสาท  ปวดกระดูก  และโรคที่ป่วยมาเป็นเวลาสิบๆ ปี  พี่น้องดีอกดีใจที่ได้รับการอธิษฐานให้หายโรค


พี่น้องครับที่ผมเล่าเรื่องนี้ เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยที่ผมประสบการณ์ในต่างแดน ผมไปเวียตนามครั้งที่สองที่โฮจิมินต์ ผมได้รับการต้อนรับอย่างดี และมีคนมาร่วมฟังการสอนเยอะกว่าตอนแรกมากๆ เพราะข่าวเรื่องการหายโรคด้วยพระกิตติคุณแห่งฤทธิ์เดชของพระคริสต์แพร่ออกไปแล้ว  จึงมีคนมารับพรมากมาย 

มีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่าผมคงว่างการว่างงานไม่มีอะไรทำจึงพยายามหาเงินมาออกทุนเองแล้วเที่ยวไปโน้นมานี่เพื่ออธิษฐานให้คนป่วย คนมีผีสิงได้รับการปลดปล่อย  บางคนคงสงสัยว่าผมมีเงินนอกมาสนับสนุน โดยได้รับเงินจากฝรั่ง จีน หรือเกาหลีกระมั้ง  ผมขอตอบว่าเปล่าครับ  ผมไม่ได้รับเงินมาจากฝรั่ง หรือชาติใดๆ มาเพื่อสนับสนุนพันธกิจนี้ 

ผมได้รับความเมตตาจากพระเจ้าประทานงบประมาณสนับสนุนการเดินทางและค่าที่พักของทีมงานและผมโดยหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องคริสเตียนไทยทั้งนั้น  พี่น้องหลายคนที่ได้รับการปลดปล่อยแล้วพระเจ้าแตะใจพวกเขา  ช่วยกันถวายเข้ามาคนละเล็กคนละน้อยเมื่อพวกเขาทราบข่าวว่าอาจารย์จะเดินทางไปทำพันธกิจด้านการปลดปล่อยในที่ต่างๆ  

ผมขอบอกตอนนี้อีกครั้งว่าเพื่อหนุนใจพี่น้องผู้ที่เป็นคนของพระเจ้าว่า เมื่อเราทำงานด้วยความรักและเต็มใจตามการทรงเรียกในพันธกิจของพระเจ้า   เมื่อเราเป็นทหาร ทหารไม่ควรกินเสบียงของตนเอง  ผมเชื่อว่าพระเจ้าใช้ให้ผมออกมาทำพันธกิจนี้   พระเจ้าจะดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ และพระองค์ก็อวยพรผ่านมาทางพี่น้องที่มีใจศรัทธา และผมเชื่อว่าด้วยพลังอธิษฐานที่เราอวยพรเขาไป  พวกเขาคงได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านการเงิน สุขภาพ  ชีวิตครอบครัว และชีวิตจิตวิญญาณอย่างเต็มล้นเพราะพวกเขาหว่านมาด้วยความเต็มใจ  ซึ่งเป็นการถูกต้องตามหลักการถวายในพระคัมภีร์

" นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย
คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ
มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย  
มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ  
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี
และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ   ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย

ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า  
  เขาแจกจ่าย  เขาให้แก่คนยากจน  
  ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์  
[พระธรรม 2 โครินธ์ 9:6-9]


หลังจากที่ผมกลับจากเวียตนามเที่ยวที่สองปลายปี 2011 พาสเตอร์ใหญ่ผู้ประสานงานให้ทีมงานของเราที่เวียตนาม ได้ชักชวนอาจารย์มิชชั่นนารีชาวอเมริกัน เชื้อสายเวียตนามให้มาเยี่ยมผมที่บ้านที่เชียงราย  อาจารย์เขามาเยี่ยมผมก็พาท่านไปเยี่ยมคริสตจักรที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ   ท่านสอนเรื่องความรัก การรับพระพรแห่งการเป็นผู้เชื่อ มีคนได้รับการหนุนใจ และดีใจทีท่านมาเยี่ยมในครั้งนี้  

ก่อนกลับ  ผมไปส่งท่านและทีมงานที่สนามบิน  มิชชั่นนารีคนนี้ท่านบอกว่า นี่...ริมู ยูรู้ไหม  ไอทำงานในภูมิภาคเอเชีย ไอไปมาหลายประเทศ  ทั้งเขมร จีน อินโด มาเลย์ และพม่า  ไอช่วยสร้างโบสถ์ ช่วยผู้รับใช้มากมาย  ทั้งโบสถ์บนดินและใต้ดิน  ไอคิดว่าไอรับใช้เกิดผลมาเลยนา  แต่...

แต่มีอย่างเดียวที่ไอรู้สึกหว้าเหว่มาก ยูรู้ไหมอะไร  ไอไม่มีการเจิมเลย  ไอไปที่ไหนมีคนมาฟังไอสอนเป็นร้อยเป็นพัน  พอเทศนาเสร็จพวกเขาก็รุมกันเข้ามาขอให้ไออธิษฐานวางมือให้พวกเขาหายโรค  ไอวางยังไงคนก็ไม่หายโรค  ตอนอธิษฐานเผื่อคนป่วยทุกครั้งไอรู้สึกอายและกระดากใจมาก   ยูช่วยบอกไอได้ไหมว่า "ยูมีเทคนิคอะไรที่วางมืออธิษฐานแล้วคนจึงหาย ยูช่วยบอกไอ และช่วยส่งของประทานของยูให้ไอหน่อยได้ไหม"

โอ้พี่น้อง  พาสเตอร์มิชชั่นนารีคนนี้เขาถ่อมใจมากๆ ครับ เขาอายุแก่กว่าผมสิบกว่าปี ตอนนี้คงอายุเกือบๆ เจ็ดสิบปี เขารับใช้พระเจ้ามาร่วมๆ สามสิบกว่าปี  เขาบอกว่า เขาไม่มีการเจิม  เขาอยากวางมือรักษาคนป่วยให้หาย แต่เขาทำไมทำไม่ได้ ทั้งๆที่พระเจ้าก็ใช้เขา สนับสนุนเขา  ให้ทุนเขา  พี่น้องอยากทราบคำตอบไหมครับ

โปรดติดตามตอนที่สองนะครับ ผมจะมาเฉลยให้ฟัง (แท้จริงผมเฉลยมาแล้วหลายครั้ง แต่คนอ่านไม่ทราบว่าจะจับใจความได้หรือเปล่า

ชาโลม ขอพระเจ้าเสริมกำลังครับ
Rice Mu; November 5, 2012

อ่านตอนที่สอง


3 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าทรงอวยพระอวยพร อ.รีวัฒน์ ในการทำพันธกิจการปลดปล่อย ที่จะเิกิดผล เป็นต้นแบบให้คนรุ่นใหม่ ได้กลับจมากขึ้นในารรับใช้พระเจ้าด้วยฤทธิ์เดชและสิทธิอำนาจแห่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่วิญญาณศาสนา

    ผมได้ติดตามอ่านบทความมานานขอให้กำลังใจมาตลอดเลย ผมรออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ เรื่องนี้ค่อนข้างจะยาว ค่อยๆ ลงมาเรื่อยๆ ครับ
      เวลาเขียนบทความต้องใช้อารมณ์ และเวลาเขียนครับ รักแล้วรอหน่อยนะครับ

      ลบ
  2. อยากอ่านตอนที่ 2 และ 3 แล้วคะ พระเจ้าอวยพรนะคะ

    ตอบลบ

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)