จะย้ายโบสถ์ไปทำไม Why do you move from church to church

                                                                    ???



คนจำนวนไม่น้อยดีอกดีใจ  หากมีใครสักคนที่ “แตกแยก” และหนีจากที่อื่นมาเข้าโบสถ์ หรือเข้ากลุ่มกับเขา  การมีคนมาเข้าร่วมกลุ่มมากขึ้นอาจทำให้ผู้นำบางคนรู้สึกดีดูเหมือนว่า  กลุ่มใหญ่ขึ้นนะ มีคนเยอะขึ้น  ดูท่าทางจะไปได้สวยนะ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก


แต่เมื่อเราสังเกตดูได้จากประสบการณ์ของหลายท่าน   ผมพบว่า” ไม่แน่นะ” เพราะคนที่เข้าที่ไหนไม่ได้มักจะติดเป็นนิสัยถาวร ต้องย้ายไปเรื่อยๆ  เหมือนชายที่มีหลายเมีย หญิงหลายผัว   เป็นคนประเภท  "โทษคนอื่นเห็น เป็นเท่าภูเขา ผิดของเรามองเห็นเป็นเส้นขน"   "ตดของข้าไม่เหม็นแต่ตดของใครๆ เน่าเหม็นที่สุด" 

คนประเภทนี้มักจะไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคนติดยะโสและเย่อหยิ่งใครสอนไม่ได้  ถือดี  คิดว่าตัวเองรู้มาก ประสบการณ์เยอะ  ก้มหัวไม่เป็น  ยิ่งเรียนมากยิ่งก้าวร้าว  ยิ่งเรียนยิ่งกดคนอื่น 
เพื่อผลประโยชน์ชั่วคราวเขาจะสามารถทำได้ทุกอย่าง ยอมถ่อมใจบ้างเป็นบางครั้ง   เขาสามารถพูดหวานๆ  สุภาพ เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ทีดีให้ตัวเอง  เพื่อหวังประโยชน์จากคนอื่น  พอไม่ได้ตามที่คาดหวังก็จะขมขื่นและกลายเป็นคนสับสนกับตัวเอง   พูดจาเหมือนกับตัวเองเป็นเทวดา  เป็นเจ้านายใหญ่ ไม่เกรงใจใคร ไม่กลัวใครเลย




คนที่ชอบย้ายโบสถ์บ่อยอาจเป็นคนประเภท  "ไปที่ไหนแตกที่นั่น" ไปอยู่ที่ใหม่มักจะ ประณามของเก่าด้วยการกล่าวโทษ  นินทา เหยียบย่ำ  ขยายความเจ็บแค้น  ตัดสินที่เก่า  ว่าไม่แฟร์  ไม่สมบูรณ์  เขามักจะเล่าสิ่งประสบการณ์เลวร้ายให้เพื่อนใหม่ฟัง  คนฟังที่อ่อนประสบการณ์ ขาดวิจารณญาณก็จะเชื่ออย่างสนิทใจ  ผิดถูกไม่แยกแยะเพราะตนเองได้ประโยชน์  โบสถ์ข้าได้คนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุนอะไร

คนที่มีทัศนะ มีความคิดเห็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ มักเป็นคนคิดในเชิงลบ  ซึ่งเกิดจากแรงกระตุ้นของความอยาก ความเย่อหยิ่ง   ความมักใหญ่ใฝ่สูง   ความเกลียดชังในตัวตนของตนเอง   หรือเกิดจากการรับเอาวิญญาณชั่วขณะที่เขาถูกปฏิเสธ ถูกละเมิด   หรือเกิดความขมขื่นกับกลุ่มความเชื่อ  หรือโบสถ์อื่นๆ มาก่อน

ผู้มีชีวิตที่ขมขื่นมักจะมี
ลักษณะการดำเนินชีวิตแบบสองด้านที่ไม่สมดุลกัน ระหว่างวันอาทิตย์และวันอื่นๆ  ชีวิตที่ต้องใส่หน้ากากหลายอัน  หากใครไม่ทราบจะคิดเหมาเอาว่า  พวกเขามีชีวิตที่เป็นสุขมาก  มีความสมบูรณ์    ครอบครัวที่ดูดีในเช้าวันอาทิตย์ในโบสถ์   กับความจริงของชีวิตครอบครัวในวันอื่นๆ  เวลาเขาไม่พอใจกันกับใครๆ ที่ใกล้ชิดมักจะพูดไม่มีหูรูด  เขาพูดขึ้นมึงขึ้นกู   กับคู่สมรส  คู่สมรสบางคู่อยู่กันไปเพื่อผลประโยชน์มากกว่าความรักแท้  แม้แต่ผู้รับใช้บางคู่ก็ต้องทนแบกหน้าต่อไปเพื่อบอกว่า เรามีความสุข ทั้งๆ ที่มีแต่ทุกข์

คู่สมรสบางคู่ไม่คุยกันหลายวันบ่อยๆ   คุยกันไม่รู้เรื่อง  คุยกันได้ไม่นานก็จะเกิดเรื่อง  พฤติกรรมแบบนี้อาจทำให้ใครหลายๆคน   สับสนกับชีวิตของตนเอง  สงสัยว่าตัวเองเป็นอะไรแน่  ลูกพระเจ้า หรือลูกผี หรือลูกอะไรกันแน่  เป็นสีขาวก็ไม่ใช้ สีดำก็ไม่เชิง  มีชีวิตเป็นแบบสีเทาๆ  แต่ปากก็บอกว่าตัวเองเป็นคริสต์


คนที่ย้ายที่นมัสการบ่อยๆ  ย้ายโบสถ์บ่อยๆ  ลึกๆ แล้วเขาอาจพยายามหาทางชำระมลทิน และอุปนิสัยซ่อนเร้นบางอย่างที่ติดอยู่ในตัวเองแม้ตัวเองก็ไม่ทราบ   พฤติกรรมแบบนี้คงเป็นเหมือนคนใข้ป่วยโรคเรื้อรังที่ไม่เชื่อฟังแพทย์  ไม่อดทนต่อการรับการรักษาต่อเนื่องเขาต้องการหายไวๆ แต่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคภัย  

เขาแก้ปัญหาไม่ถูกที่
ด้วยการย้ายตัวเองไปรักษาในคลินิกต่างๆ  พอไปหาที่ใหม่ก็ด่าแพทย์คนก่อนๆ ว่าไม่ดี  ไม่มีความสามารถ ไม่ใส่ใจคนไข้  รักษาเสียเวลา  ไม่หายขาด  แถบเป็นมากกว่าเดิม  ทั้งที่ปัญหามันไม่ได้อยู่แพทย์ ที่ยา  แต่ปัญหามันมาจากสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้จิตสำนึกของเขา  ที่เขาเองก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันคืออะไร


สาเหตุที่แท้จริงของความขมขื่น  พฤติกรรมก้าวร้าว  แตกแยกเหล่านี้  อาจมีสาเหตุมาจากพฤติกรรม ความบาป  คำแช่งสาป  หรือวิญญาณแอบแฝง  ที่การปลดปล่อยเขาเรียกว่า "วิญญาณคุ้นเคย"  "วิญญาณขมขื่นปฏิเสธ"  ที่ติดมากับตัวเขาเอง  ตั้งแต่เกิด หรือขณะที่เผลอตัวทำบาป  หรือถูกละเมิดอย่างไม่เป็นธรรม แล้วเก็บความเจ็บแค้นซ่อนไว้ใต้จิตสำนึก  ไม่ยอมให้อภัย หรือให้อภัยไปแล้ว  แต่ยังคิดเจ็บใจบ่อยๆ เมื่อคิดถึงมัน  ภายนอกเขาดูดีมาก แต่ลึกๆ แล้วมีความขมขื่น  อารมณ์แปรปรวน แม้ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจตนเอง  อยากจะแก้ อยากจะหลุดแต่มันไม่ยอมไปสักที

ผลแห่งการรับเอาวิญญาณ หรือติดวิญญาณชั่วจะทำให้คนที่รับวิญญาณชั่วขาดสันติสุข  ขาดความสงบทางวิญญาณ  เขาไปที่ไหนก็ขาดสันติสุขทางวิญญาณ   เขาจึงต้องมีปัญหาด้วยการย้ายโบสถ์อยู่ร่ำไป   เที่ยวเร่ร่อนไป  เพราะมีปัญหากับคน  ปัญหาด้านสังคมและอารมณ์  เรียกว่า พอรู้ไต๋กันก็อยู่ไม่ได้ ต้องไปต่อ

พฤติกรรมเยี่ยงนี้คงเป็นเหมือนคนไร้รักแท้ที่อยากจะพบรักแท้สักที และอยากจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่คนไหนก็ยังไม่ถูกใจสักที   จนเวลาล่วงเลยผ่านไปปีแล้วปีเล่า   ผ่านคนแล้วคนเล่าก็ต้องรู้สึกเหมือนอยู่เดียวดาย  อยู่อย่างโดดเดียวและเปลี่ยวเหงา  แท้จริงปัญหามันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่ปัญหามันอยู่ภายใต้จิตสำนึกของตัวผู้เชื่อเองที่ถูกกระทำ  ถูกละเมิด  แต่ตัวเองตัดมันไม่ขาด  วิญญาณบางอย่างจึงอาศัยเป็นช่องทางในการทำงาน  ทำให้เขาทรมานเรื่อยไป

 การย้ายโบสถ์บ่อยๆ ของใครบางคน   เมื่อเขาไปที่ไหนความขมขืนก็แปดเปื้อนไปทั่ว  ไม่นานผมพบว่า คนที่ไม่สามารถละความขมขื่น   ความเคียดแค้นชิงชัง  จิตชอบวินิจฉัย ตัดสินคุณภาพและพฤติกรรม หรือการทำงานของคนอื่น จะทำให้เกิดความสับสนต่อตัวผู้กระทำเองโดยไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร  แม้ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนก็จะมีสุขอยู่ได้ไม่นาน   เขาไม่สามารถทำให้ใครดีขึ้น  ทั้งตัวเขาเอง และคนที่รับเขาเข้าไป

ดังนั้นปัญหาการความขมขื่นการขาดสันติสุขกับพี่น้องในคริสตจักร หรือในกลุ่ม  ปัญหาการรับใช้  ปัญหาการถูกปฏิเสธ  มันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ "สถานที่ หรือกลุ่มคน  หรือคำสอน" แต่ผมว่ามันอยู่ที่ตัวบุคคลที่ยังเป็นเหมือนเนื้อสุกๆ ดิบๆ อยู่มากกว่า 

ผมมีคำแนะนำสำหรับคนที่มีความขมขื่น มีปัญหาครอบครัว  มีปัญหาชีวิตแก้ไม่ตกว่า

หากสำรวจตัวเองก่อนตัดสินผู้อื่น  ยอมรับตัวเอง ยอมรับความอ่อนแอล้มเหลวของผู้อื่น  ให้อภัยตนเอง ให้อภัยผู้อื่น  ยอมรับความจริงว่าในพระคริสต์ทุกคนกำลังถูกสร้างใหม่ ยังไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม"

หากใครทำได้อย่างนี้แล้วยังไม่หลุด  ก็ต้องพึ่งการอธิษฐานปลดปล่อยแล้วครับ

ข้อพระธรรมหนุนใจ
  

ความ โหดร้ายของเจ้าจะตีสอนเจ้าเอง และการที่เจ้ากลับสัตย์นั้นเองจะตำหนิเจ้า เจ้าจงรู้และเห็นเถิดว่ามันเป็นความชั่วและความขมขื่น ซึ่งจะทอดทิ้งพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า ซึ่งความยำเกรงเรามิได้อยู่ในตัวเจ้าเลย พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ [ยรม.2:19] 

เพราะพระองค์ทรงจารึกสิ่งขมขื่น ต่อสู้ข้าพระองค์และทรงกระทำให้ข้าพระองค์รับโทษความบาปผิด ที่ข้าพระองค์กระทำเมื่อยังรุ่นๆอยู่[โยบ.13:26]


  แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่นเพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง [ยก.3:14]


  จงระวังให้ดีอย่าให้ใครเพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา ทำความยุ่งยากให้ ซึ่งจะเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเสียไป [ฮบ.12:15]

โปรดจำไว้ว่า ไม่มีโบสถ์ไหนที่สมบูรณ์  ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปทุกๆ เรื่อง  แต่ตัวเรากับพระเจ้าต่างหากล่ะ  เราโอเคกับพระเจ้าไหม  เรายำเกรงพระองค์หรือเปล่า  เราเคยโทษตัวเองหรือเปล่า หรือว่า เห็นแต่ความอ่อนแอและหย่อนยานของคนอื่นๆ  ไม่มีโบสถ์ไหนทำให้ใครรอดได้หรอก ถ้าคนๆ นั้นไม่ยอมกลับใจจากบาป   เขาต้องกลับใจก่อน  เลิกบาปเด็ดขาด แล้วสันติสุขจะเข้ามา 

เมื่อคริสเตียนโตแล้วต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ต้องออกไปปลูกสร้างคริสตจักร ถ้าทำเองไม่ได้ก็ต้องชวนเพื่อนๆ มาทำร่วมกัน  ไม่ใช่ไปนั่งฟังคำสอนจนแก่ จนตาย โดยไม่ได้นำใครมารอด

ขอพระเจ้าอวยพร ชาโลม

Rice Mu 
March 14, 2013


HOME

1 ความคิดเห็น:

You may post your comments here.
หากท่านมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมหรือเสนอแนะเชิญออกความเห็นได้
(กรุณาใช้ข้อความสุภาพ และสร้างสรรค์)